แบงก์ชาติพบสัญญาณเก็งกำไรใบจองคอนโดฯปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น เหตุดอกเบี้ยต่ำนาน แต่เสถียรภาพการเงินไทยยังแข็งแกร่งเนื่องจากผู้ประกอบการระวังตัวมากขึ้น แนะเตรียมพร้อมรับมือความเสี่ยงที่จะเกิดในอนาคต
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากรายงานการประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่าความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทยในปี 2558 มีมากขึ้นกว่าปีก่อนหน้า จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ล่าช้า ส่งผลต่อการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย มีผลต่อรายได้และความสามารถในการชำระหนี้ของภาคเอกชน รวมถึงคุณภาพสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ด้อยลง และจากการที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำยาวนาน ทำให้เห็นพฤติกรรมแสวงหาผลตอบแทนและยอมรับความเสี่ยงที่สูงขึ้น (เสิร์ชฟอร์ยีลด์) ในตลาดทุน ตลาดตราสารหนี้ และสินทรัพย์ต่างๆ มากขึ้น นอกจากนี้ มีการลงทุนในหลักทรัพย์ต่างประเทศผ่านกองทุนรวมมากขึ้น ภาคธุรกิจได้หันมา ระดมทุนผ่านตราสารหนี้มากขึ้น และยังพบสัญญาณเก็งกำไรจากการซื้อขายใบจองในตลาดอาคารชุดในเขตกรุงเทพฯเพิ่มขึ้นบ้าง
“เริ่มเห็นสัญญาณการเก็งกำไรจากการซื้อขายใบจองในตลาดอาคารชุดเพิ่มขึ้นบ้างในช่วงกลางปี 2558 ส่วนหนึ่งสะท้อนจากอัตราการจองอาคารชุดที่เพิ่มตัวขึ้นตั้งแต่ไตรมาสแรก สอดคล้องกับการสอบถามผู้ประกอบการที่ระบุว่ามีสัญญาณเก็งกำไรใบจองอาคารชุดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะทำเลในเขตกรุงเทพฯ ที่ใกล้แนวรถไฟฟ้าแต่ก็ยังไม่กระทบกับเสถียรภาพทางการเงินของผู้ประกอบการ เนื่องจากมีการบริหารความเสี่ยงที่ดี เช่น การเก็บค่าธรรมเนียมการเปลี่ยนมือใบจอง และการเพิ่มสัดส่วน เงินดาวน์ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรของผู้ซื้อ นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ยังระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย จึงมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงจากการเก็งกำไรในตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้” รายงาน ระบุ
รายงานข่าวระบุอีกว่า ระบบธนาคารพาณิชย์ไทย ยังมีความเข้มแข็ง สามารถรองรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นได้ และภาคธุรกิจขนาดใหญ่มีฐานะการเงินอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งนี้ มาตรการทางการเงินของภาครัฐ อาทิ มาตรการส่งเสริมความเป็นอยู่ของผู้มีรายได้น้อย มาตรการด้านสินเชื่อแก่ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) และมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ คาดว่า ผลของมาตรการเหล่านี้จะช่วยลดค่าใช้จ่ายและเพิ่มสภาพคล่องให้กับภาคเอกชนได้ระดับหนึ่ง รวมถึงมาตรการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชนและการลงทุนของภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป
ส่วนความเสี่ยงเชิงโครงสร้างเศรษฐกิจต่อเสถียรภาพระบบการเงินไทย ยังไม่เห็นผลกระทบที่ชัดเจน แต่ควรติดตามและเตรียมความพร้อมรับมือกับความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น การขยายตัวของผู้ให้บริการทางการเงินที่มิใช่ธนาคารพาณิชย์ และความเสี่ยงจากพัฒนาการของเทคโนโลยีทางการเงินต่อผู้ใช้บริการ ผู้ให้บริการ ตลอดจนระบบสถาบันการเงิน และระบบการชำระเงินในภาพรวม ซึ่งผู้กำกับดูแลต้องเตรียมพร้อมให้เท่าทันกับพัฒนาการที่เกิดขึ้น