อสังหาฯประเมินโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ หนุนธุรกิจโต7-10% ช่วง10ปี
“รับเหมา-อสังหาฯ”รับมาตรการกระตุ้น ลงทุน หลังรัฐบาลเดินหน้าโครงการขนาดใหญ่ คาดปีหน้างานประมูล 7 แสนล้าน โดยครึ่งปีแรก มีการประมูล 3-4 แสนล้าน ด้าน”ซิโน-ไทย”หวังได้งาน 20-25%
คาดประมูลโครงการขนาดใหญ่ ปีนี้มีเพียงรถไฟทางคู่ มูลค่า 6 หมื่นล้าน ภาค อสังหาฯ เรียกร้องรัฐเร่งออกมาตรการระยะสั้น “ลดค่าโอน-จดจำนอง” ขณะที่เมกะโปรเจค หนุนเติบโตระยะยาว
หลังจากรัฐบาลเร่งผลักดันมาตรการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ”ในเฟสแรก และเฟสสอง ด้วยการช่วยเหลือสภาพคล่องทางการเงินแก่ผู้มีรายได้น้อย และผู้ประกอบการขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี)
ล่าสุดเร่งผลักดันการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ของรัฐ ใและเปิดให้เอกชนร่วมลงทุนในกิจการรัฐหรือพีพีพี ส่งผลให้ผู้ประกอบการในธุรกิจรับเหมา รวมถึงนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเมินว่าจะได้รับอานิสงส์จากการผลักดันมาตรการดังกล่าว หลังไม่มีการลงทุนขนาดใหญ่ มาเป็นเวลานาน
ขณะนี้ กระทรวงคมนาคมเตรียมปรับกรอบการลงทุนขนาดใหญ่รวม 17 โครงการ วงเงิน 1.6 ล้านล้านบาท โดยจะเร่งดำเนินการเสร็จในปี 2559
นายภาคภูมิ ศรีชำนิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า งานโครงการขนาดใหญ่ หรืองานโครงสร้างพื้นฐาน (เมกะโปรเจค) ตามนโยบายที่รัฐบาลวางไว้ คาดจะเริ่มออกมาให้ประมูลกันมากขึ้นในช่วงต้นปี 2559 อาทิ งานก่อสร้างรถไฟทางคู่ 3-6 เส้นทาง มูลค่าราว 1 แสนล้านบาท งานก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ มูลค่าราว 1 แสนล้านบาท งานขยายสนามบินสุวรรณภูมิ มูลค่าราว 6 หมื่นล้านบาท
เมื่อรวมกันทั้งหมดแล้ว ในช่วงครึ่งปีแรกของปีหน้า คาดว่าจะมีงานออกมาให้เข้าประมูลราว 3-4 แสนล้านบาท
นายภาคภูมิ กล่าวว่า บริษัทจะเข้าร่วมประมูลโครงการด้วย โดยตั้งเป้าไว้ว่าจะได้รับงานราว 20-25% จากมูลค่าทั้งหมด ซึ่งเป็นไปตามสถิติการได้รับงานโดยปกติของบริษัท
“ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2559 คงจะต้องรอให้รัฐบาลประกาศนโยบายหรือแผนงานเพิ่มเติมอีกครั้ง แต่ในเบื้องต้นมองว่า มูลค่าของงานที่จะออกมาน่าจะใกล้เคียงกับช่วงครึ่งปีแรก”
“ขณะนี้บริษัทมีงานในมือ (แบ็กล็อก) ราว 5 หมื่นล้านบาท รองรับการทำงานได้อีก 2 ปีครึ่ง ขณะที่งานประมูลใหม่ๆ บริษัทจะเข้าประมูลทุกโครงการ ซึ่งปกติแล้วบริษัทมีสถิติได้งาน ราว 20-25% ทำให้มูลค่างานใหม่ในปีหน้ามีโอกาสถึง 1 แสนล้านบาท แต่งานเหล่านี้ก็จะทยอยรับรู้รายได้ใน 3 ปี โดยจะเลือกรับงานให้มีระยะเวลาดำเนินการไม่เกิน 4 ปี เพื่อป้องกันความเสี่ยงเรื่องความผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้าง” นายภาคภูมิ กล่าว
ส่วนในปีนี้คาดว่า จะมีงานโครงการขนาดใหญ่ ออกมาเพียง 1 โครงการ คือ รถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง ซึ่งน่าจะเปิดประมูลได้ในช่วงปลายปีนี้ มูลค่ารวมประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งในส่วนนี้ บริษัทคาดว่าจะได้รับงานราว 2 หมื่นล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2555-2557) บริษัทมีรายได้ รวมปี 2555 อยู่ที่ 20,195 ล้านบาท ปี 2556 อยู่ที่ 22,947 ล้านบาท และปี 2557 อยู่ที่ 21,955 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรก่อนหักค่าเสื่อม ดอกเบี้ยและภาษี ปี2555 อยู่ที่ 1,805 ล้านบาท ปี 2556 อยู่ที่ 2,578 ล้านบาท และปี2557 อยู่ที่ 2,357 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ บริษัท มีรายได้รวม 9,335 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักค่าเสื่อม ดอกเบี้ย และภาษี อยู่ที่ 1,051 ล้านบาท
“เนาวรัตน์”เล็งรับช่วงงานรัฐ
เช่นเดียวกับ นายปสันน สวัสดิ์บุรี รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสแผนกธุรกิจใหม่และวางแผนกลยุทธ์ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) คาดว่าในปี 2559 รัฐบาลจะเร่งผลักดันงานโครงการขนาดใหญ่ออกมามากขึ้น ซึ่งจะส่งผลดีต่อบริษัทใน 2 ด้าน อย่างแรก คือ บริษัทสามารถเข้าไปเป็นผู้รับเหมาย่อย (ซับคอนแทรค) ให้กับผู้รับเหมาตรงได้ รวมถึงการเข้าไปเป็นผู้จัดหาวัสดุก่อสร้างหรือเครื่องมือ ต่างๆ ให้กับผู้รับเหมารายใหญ่ๆ ซึ่งจะช่วยให้บริษัทมีงานมากขึ้นในปีหน้า
ส่วนอีกมุมหนึ่ง คือ คู่แข่งขันของบริษัท มีโอกาสที่จะลดลง ในส่วนของงานโครงการตาม งบประมาณประจำปี ซึ่งเป็นโครงการขนาดเล็ก ของหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ อาทิ งานป้องกันน้ำท่วม งานก่อสร้างถนน ซึ่งถือเป็นงานหลัก และบริษัทมีความถนัดมากที่สุด เนื่องจากบริษัทใหญ่จะมุ่งไปรับงานโครงการใหญ่ๆ เป็นหลัก
“แม้งานโครงการใหญ่ๆ จะชะลอในปีนี้ แต่สำหรับบริษัท ซึ่งเน้นงานโครงการปกติประจำปี ของหน่วยงานต่างๆ ยังถือว่ามีงานออกมา ต่อเนื่อง และเชื่อว่า จะมีออกมามากขึ้นในปีหน้า ส่งผลให้งานในมือของบริษัทในขณะนี้เพิ่มขึ้นแตะ 1.7 หมื่นล้านบาท ถือสถิติสูงสุดของบริษัทขณะที่งานโครงการใหญ่นั้น บริษัทมีความสามารถในการรับงาน แต่ด้วยประสบการณ์ในอดีตที่ ไม่ได้รับงานประเภทนี้มาก บริษัทคงไม่สามารถเข้าประมูลเป็นผู้รับเหมาหลักได้ ตามเกณฑ์การพิจารณาของภาครัฐ แต่บริษัทยังสามารถเข้าไปเป็นซับคอนแทรค หรือซัพพลายเออร์ได้ ซึ่งจะเป็นตัวเสริมที่ดีในปีหน้า”
สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วง 3 ปีที่ผ่านมานั้น (ปี 2555-2557) บริษัทมีรายได้รวม7,270 ล้านบาท ปี 2556 อยู่ที่ 6,955 ล้านบาท และปี 2557 อยู่ที่ 7,891ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่กำไรก่อนหักค่าเสื่อม ดอกเบี้ย และภาษี ปี 2555 อยู่ที่1,100 ล้านบาท ปี2556 อยู่ที่ 699 ล้านบาท และปี2557 อยู่ที่ 710ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทมี รายได้รวม 3,749 ล้านบาท และมีกำไรก่อนหักค่าเสื่อม ดอกเบี้ย และภาษี อยู่ที่ 260 ล้านบาท
“อสังหาฯ”เร่งรัฐออกมาตรการฟื้นธุรกิจ
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย และกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เชื่อมั่นว่านโยบายภาครัฐที่สนับสนุนการลงทุนระบบขนส่งมวลชน และโครงสร้างพื้นฐานคมนาคมทั้งรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ รวมถึง รถไฟทางคู่ และรถไฟความเร็วสูง จะทำให้มี เงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ นอกจากจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว ยังเป็น สร้างโอกาสการลงทุนภาคอสังหาริมทรัพย์ให้เติบโตต่อเนื่อง 7-10% ไประยะ 10 ปีข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัวมานาน ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัวลงไปมาก จึงเห็นว่า ในระยะสั้นรัฐบาลอาจต้องใช้มาตรการต่างๆมากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งทุกรัฐบาลนำมาใช้ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจาก ภาคอสังหาริมทรัพย์มีขนาดธุรกิจใหญ่ มูลค่าประมาณ 5 แสนล้านบาทต่อปี มีผลระบบเศรษฐกิจ 1.7-1.8 ล้านล้านบาท ของจีดีพีประเทศอยู่ที่ประมาณ 13 ล้านล้านบาท รวมภาคอสังหาฯ และธุรกิจเกี่ยวเนื่องรวมแล้วอยู่ที่ 13% ของ จีดีพี
โดยเฉพาะมาตรการกระตุ้นผู้บริโภคให้ได้รับประโยชน์ คือ การลดค่าโอนจาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดจำนอง 1% เหลือ 0.01% เพื่อปลุกกำลังซื้อผู้บริโภคอยู่ในภาวะย่ำแย่ รวมถึงกระตุ้นการโอน ซึ่งอาจจะมีปัญหาในเร็วๆ วันนี้ เพราะมีสินค้าขายได้แล้วรอโอนจำนวนมาก ทั่วประเทศ มูลค่ากว่า 1.9 แสนล้านบาท ที่จะต้องส่งมอบในครึ่งปีหลังโดยเฉพาะเป็นตลาดกลางล่าง ซึ่งมีปัญหาหนี้ครัวเรือน ที่ผ่านมาอัตรากู้เงินซื้อบ้านไม่ผ่านค่อนข้างสูง
หนุนลดโอน-จดจำนองฟื้นอสังหาฯ
“คิดว่ารัฐพร้อมจะใช้มาตรการกระตุ้น อสังหาฯ หลังจากอัดเม็ดเงินกว่า 1.3 แสนล้านบาท ในการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะแรก และระยะต่อไปอาจจะหยิบยกภาคธุรกิจอสังหาฯ มาเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจระยะสั่น เนื่องจากเห็นผล เร็ว และแรง โดยการหยิบยกมาตรการภาษี มากระตุ้นกำลังซื้อกลุ่มระดับกลาง ล่าง จะให้ ผลระยะสั้นที่เร็วที่สุด”
ที่ผ่านมา มาตรการของภาครัฐอออกมาเป็นระลอก ระยะแรก กระตุ้นผู้มีรายได้น้อยผ่านกองทุนหมู่บ้าน ระยะที่สอง กระตุ้นกลุ่มเอสเอ็มอี และระยะสาม กระตุ้นรายภาคอุตสาหกรรมที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจ มาตรการทั้ง 3 ระยะ มีขับแคลื่อนอย่างเป็นรูปธรรม และรวดเร็ว น่าจะมีผลต่อระบบเศรษฐกิจในช่วงท้ายของปีนี้จนถึงต้นปีหน้า
เร่งรัฐผุดมาตรการกระตุ้นซื้อบ้าน
ด้านนางสาวเกษรา ธัญญลักษณ์ภาคย์ กรรมการบริหาร บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของภาครัฐออกมาแล้วในระยะแรก การนำเงินไปช่วงผู้รายได้น้อย ผ่านกองทุนหมู่บ้าน เพื่อให้มีการ ใช้จ่ายมากขึ้น ถือว่าเป็นมาตรการที่ดีกับกลุ่มระดับกลาง และล่าง แต่จำนวนเม็ดเงินออกมาไม่มาก จึงอาจจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้ไม่มากนัก
ทั้งนี้ หากรัฐจะมีมาตรการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อบ้านก็เชื่อว่ากลุ่มคนที่ชะลอการซื้อไว้ก็พร้อมจะตัดสินใจในช่วงเวลานี้ หากรัฐบาลจะใช้มาตรการก็ต้องชัดเจน โดยเฉพาะมาตรการภาษี ที่สามารถปฎิบัติได้จริง และปฎิบัติได้เร็ว เพราะเป็นมาตรการที่เคยปฎิบัติมาแล้ว และ ได้ผลเป็นอย่างดี หากเป็นแค่มาตรการสวยหรู แต่การปฎิบัติไม่เกิดก็ไม่มีผล
แต่ในระยะยาว การลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน คมนาคมได้จะดีมาก ซึ่งจะเป็นปัจจัยมีผลต่อ การกระตุ้นภาคอสังหาฯอย่างมาก เพราะสร้างให้เกิดการลงทุนผ่านผู้รับเหมา แรงงาน และดีเวลอปเปอร์ และดีต่ออสังหาฯในแง่ของศักยภาพดีมานด์ และซัพพลาย เกิดขึ้นมากตามโครงข่ายคมนามคม จะลดปัญหาการเกิดโอเวอร์ซัพพลาย เพราะจะทำให้กระจายออกไปหลายพื้นที่มากขึ้น หากรัฐมีการลงทุนจริง จะดีมาก
เชื่อดันโครงการเกี่ยวเนื่องโต15-20%
นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย กจำกัด (มหาชน) กล่าว่า มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯของรัฐ โดยจะลดหย่อนค่าโอน และค่าจดจำนอง ที่อยู่อาศัยต่ำกว่า 2 ล้นบาท ที่จะออกมาเร็วๆ นี้ มองว่าจะช่วยกระตุ้นโครงการที่เกี่ยวเนื่องได้ 15-20% แต่ภาครัฐจะต้องโปรโมทเพื่อเป็นกระตุ้น ตลาด สร้างการรับรู้ และทำให้ผู้บริโภคตื่นตัว เพื่อให้มาตรการะตุนมีผลอย่างแท้จริง
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ