แม้ภาวะเศรษฐกิจไทยปีนี้ค่อนข้างผันผวน ส่งผลให้อสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว แต่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ทำให้ต่างชาติมองว่าประเทศไทยมีศักยภาพเป็นศูนย์กลาง ของภูมิภาค ส่งผลให้ต่างชาติ
สนใจลงทุนโครงการอสังหาฯในไทย ขณะที่สถานการณ์ “เงินบาท”อ่อนค่า เอื้อต่างชาติซื้ออสังหาฯไทยราคาถูกลง ปัจจัยหนุนดันยอดขาย คอนโดไทยโต
สัญชัย คูเอกชัย รองกรรมการ ผู้จัดการ บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) กล่าวว่า ปัจจุบันพบความเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างชาติ ทั้งจากญี่ปุ่นและจีนที่ยังสนใจลงทุนและหาพันธมิตรเพื่อร่วมลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในไทยเพิ่มขึ้น สะท้อน จากการร่วมทุนของนักพัฒนาอสังหาฯ ค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา
“ที่ผ่านมาเห็นการร่วมทุนของ นักพัฒนาอสังหาฯ ค่อนข้างมาก ทั้งในแง่ ของการแลกหุ้น หรือร่วมทุนเป็นรายโครงการ อาทิ เอพีกับมิซูบิชิ เอสเตท, อนันดากับมิตซุย ฟูโดซัน, สิงห์ เอสเตท กับเนอวานา, เคพีเอ็นกับปริญสิริ และ บีทีเอสกับแสนสิริ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเทรนด์และสัญญาณเตือนให้ผู้ประกอบการ รายย่อย ต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถรับมือการแข่งขัน”
สำหรับนักลงทุนต่างชาติ สนใจลงทุน อสังหาฯหลายประเภทแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับขนาดของการลงทุน เช่น นักลงทุน ชาวจีนที่เข้ามาปรึกษากับบริษัท สนใจโครงการที่อยู่อาศัยทั้งอาคารสูงและ แนวราบ เนื่องจากแนวโน้มการลงทุนประเภทนี้ยังมีความน่าสนใจและมีโอกาสเติบโต นอกจากนี้พบว่าประเภทของ อสังหาฯที่นักลงทุนเริ่มให้สนใจมากเพิ่มมากขึ้น คือสำนักงานให้เช่าและโครงการ ที่อยู่อาศัยกลางเมือง
“การผสมผสานรูปแบบโครงการ ให้มีความหลายหลาย เพื่อตอบโจทย์ ผู้ใช้บริการอย่างทั่วถึง ยังคงเป็นเทรนด์หลักสำหรับการลงทุนโครงการ ขนาดใหญ่”
จากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยและหลายประเทศที่คาดการณ์ได้ยาก ส่งผล ให้นักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ หันมา ใช้บริษัทปรึกษาด้านการลงทุนอสังหาฯมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงรวมถึงมองหาโอกาสการทำไรในช่วงเศรษฐกิจ ชะลอตัว
ปัจจุบันมีลูกค้าที่รับคำปรึกษาอยู่ กว่า 10 ราย เป็นรายใหญ่ 4-5 ราย โดยส่วนนักลงทุนไทยสนใจประเภทมิกซ์ยูส เพื่อกระจายความเสี่ยงและให้ผลประโยชน์สูงสุด แม้มีบางธุรกิจเติบโตสูงและมีจำนวนมากในตลาด แต่ความต้องการของผู้บริโภคยังคงมีอยู่มากเช่นกัน ภาวะการแข่งขันสูงในปัจจุบันอีกทั้งผู้ประกอบการรายใหม่เกิดขึ้นมาก ดังนั้นการแข่งขันกับทั้งรายใหญ่และนักลงทุนที่มีประสบการณ์จากต่างชาติ รายใหม่จึงต้องอาศัยผู้เชี่ยวชาญทางด้าน อสังหาฯ ช่วยวางแผนและเป็นที่ปรึกษา ด้านการทำงาน
อุทัย อุทัยแสงสุข รองกรรมการ ผู้จัดการอาวุโส สายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปัจจุบันค่าเงินบาท อ่อนค่าอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับดอลลาร์ ล่าสุดทะลุ 36 บาทต่อดอลลาร์ ต่ำที่สุด ในรอบ 6 ปี 6 เดือน โดยธนาคารพาณิชย์ ให้ความเห็นว่าค่าเงินบาทไทยจะอ่อนตัวลงอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีนี้ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์เริ่มแข็งตัว ในขณะที่ค่าเงินประเทศเพื่อนบ้านไทยอย่างมาเลเซียและอินโดนีเซียอ่อนตัวลง จึงฉุดค่าเงินบาทไทยให้อ่อนลงไปด้วย ประกอบกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจและการเมืองไทยที่ต่างชาติยังต้องการดูความชัดเจน ธนาคารพาณิชย์ประมาณการค่าเงินบาทว่าจะแกว่งตัวในระดับ 35.75-37 บาทต่อดอลลาร์ในปีนี้และมีโอกาสไปถึง 38-40 บาทต่อดอลลาร์ในปี 2559
“แสนสิริมองว่าค่าเงินบาทที่อ่อนค่าจะส่งผลที่ดีต่อภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวไทยโดยตรง เพราะจะทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวของชาวต่างชาติถูกลง จึงทำให้มีต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวยังประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ซึ่งคนกลุ่มนี้อาจจะเป็นกลุ่มคนที่สนใจซื้ออสังหาฯไทยในอนาคตได้”
นอกจากนี้เงินบาทที่อ่อนค่าลง ยังเป็นปัจจัยบวกกับชาวต่างชาติที่สนใจซื้ออสังหาฯไทย เพราะสามารถซื้ออสังหาฯในราคาถูกลงถึง 9% เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทเมื่อต้นปีที่ผ่านมา จึงเป็นเหตุให้ลูกค้าต่างชาติทั้งที่ซื้ออสังหาฯเพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศและซื้อเพื่อการลงทุนปล่อยเช่าสามารถตัดสินใจซื้อคอนโดมิเนียมได้ เร็วขึ้น
กลุ่มลูกค้าต่างชาติในสิงคโปร์และฮ่องกง นิยมลงทุนคอนโดฯในกรุงเทพฯ เป็นหลัก โดยพิจารณาจากทำเลใกล้รถไฟฟ้าและผลตอบแทนเรื่องอัตราเช่า โซนที่นิยมคือ สีลม เพลินจิต อโศก พร้อมพงศ์ และทองหล่อ ในช่วง 1-3 ปี ที่ผ่านมาโซนพระโขนงและอ่อนนุช เริ่มได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะทำเล ติดรถไฟฟ้าสายหลัก แต่ราคาถูกกว่า 30-60% ขณะที่ให้ผลตอบแทนจาก ค่าเช่า 5-7%
ด้านลูกค้าต่างชาติในประเทศจีน และไต้หวันให้ความสนใจคอนโดใน ภูเก็ตมากกว่า เนื่องจากต้องการที่พัก ตากอากาศในเมืองชายทะเลที่สามารถปล่อยเช่าในช่วงที่ไม่ได้เดินทางมาพักผ่อนได้ด้วย
แสนสิริเห็นโอกาสเพิ่มยอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติในช่วงนี้ จึงวางแผนจัดโรดโชว์โครงการคอนโดมิเนียมกรุงเทพฯ คือ เดอะ เบส พาร์คเวสท์ และเดอะ เบส พาร์คอีสต์ ในสิงคโปร์และฮ่องกง รวมทั้งโรดโชว์โครงการในภูเก็ต คือบ้านไม้ขาว, เดอะ เดค ป่าตอง, เดอะ เบส ไฮท์ ภูเก็ต และเดอะ เบส อัพทาวน์ ภูเก็ต ในไต้หวัน เดือนก.ย.นี้
ทั้งนี้ เตรียมเปิดตลาดปักกิ่ง ประเทศจีน นำคอนโดฯในภูเก็ตไปโรดโชว์ในเดือนนี้ด้วยเช่นกัน เพราะมองว่ากลุ่มลูกค้าระดับบนชาวจีน น่าจะมองหาคอนโดฯสร้างเสร็จพร้อมอยู่เพื่อมาพักผ่อนในช่วงไฮซีซันปลายปี รวมทั้งยังนับเป็นอีกช่องทางการลงทุนที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าการลงทุนในตลาดหุ้นจีน
“การโรดโชว์ในตลาดต่างประเทศ อย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้บริษัทเพิ่มสัดส่วนกลุ่มลูกค้าต่างชาติเป็น 10% ในปีนี้ หรือ คิดเป็นมูลค่าการขายกว่า 3,000 ล้านบาท จากปีที่แล้วที่อยู่ที่ 5%”
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ