เอกชนนำทัพ 30 นักลงทุนลงพื้นที่นิคมฯเขตเศรษฐกิจพิเศษแม่สอด ส.ค.นี้ ดันตั้งโรงงานผลิตพลาสติก จับตลาดป้อนเมียนมาในอีก 2 ปีข้างหน้า มีความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ถึง 2 แสนตัน
ส.อ.ท.ชี้เป็นโอกาสช่วยลดต้นทุนการผลิต ติดแค่เพียงบีโอไอ ยังไม่ส่งเสริมให้สิทธิประโยชน์จูงใจ จี้ขอให้แก้ไขใหม่ได้สิทธิประโยชน์ทุกประเภทพลาสติก
นายอัฒฑวุฒิ หิรัญบูรณะ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ”ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ในระหว่างวันที่ 21-22 สิงหาคมนี้ ทางส.อ.ท.และบริษัท พีทีทีโกลบอล เคมิคอล จำกัด(มหาชน)หรือพีทีทีจีซี จะนำลูกค้าในประเทศที่ซื้อเม็ดพลาสติกจากบริษัท ประมาณ 30 ราย ลงพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษในอำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพื่อสำรวจศักยภาพพื้นที่ตั้งของนิคมอุตสาหกรรมในตำบลแม่ปะ เนื้อที่ 1.42 พันไร่ ห่างจากสะพานมิตรภาพไทย-เมียนมาราว 8 กิโลเมตร ที่จะใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งตั้งเป็นนิคมฯพลาสติกขึ้นมา ตามเป้าหมายที่รัฐบาลส่งเสริมให้เกิดขึ้นตามแนวชายแดน
โดยผู้ประกอบการกลุ่มอุตสาหกรรมพลาสติก มีความสนใจที่จะเข้าไปตั้งโรงงาน เนื่องจากเห็นว่าเป็นโอกาสที่จะขยายการลงทุน เพราะยังมีตลาดเปิดกว้าง จากความต้องการใช้พลาสติกของเมียนมาในปีนี้สูงถึง 1.75 แสนตัน และในปี 2560 จะเพิ่มเป็น 2 แสนตันต่อปี และมีแนวโน้มการเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปีที่ผ่านมาเมียนมาได้นำเข้าผลิตภัณฑ์พลาสติกจากไทยประมาณเฉลี่ย 3 พันตันต่อเดือน คิดเป็นมูลค่าประมาณ 200-300 ล้านบาทต่อเดือนหรือ 2.4-3.6 พันล้านบาทต่อปี โดยจะนำเข้าผ่านด่านแม่สอดประมาณ 870 ล้านบาทต่อปี
ดังนั้น การมาตั้งโรงงานผลิตผลิตภัณฑ์พลาสติกในนิคมฯเขตเศรษฐกิจพิเศษ จึงเป็นที่จับตาของนักลงทุน เพราะส่วนหนึ่งจะเป็นการช่วยลดต้นทุนการส่งออกของผลิตภัณฑ์ รวมถึงช่วยลดต้นทุนการขนส่งวัตถุดิบเม็ดพลาสติกจากภาคตะวันออกมายังโรงงาน เนื่องจากบริษัท พีทีทีจีซีฯ ได้เตรียมแผนที่จะมาตั้งคลังสต๊อกเม็ดพลาสติกให้ผู้ประกอบการแล้ว
ส่วนการเตรียมความพร้อมด้านการพัฒนาพื้นที่จัดตั้งนิคมฯนั้น ขณะนี้ทราบมาว่าทางการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(กนอ.) กำลังจะทำสัญญาเช่าที่ดินจากกรมธนารักษ์ รวมถึงการกำหนดอัตราค่าเช่าที่ดินและระยะเวลาของภาคเอกชน ซึ่งที่ผ่านมาทางกนอ.ก็ได้ลงพื้นที่ในการเชิญชวนนักลงทุนเข้ามาตั้งโรงงานแล้ว พร้อมทั้งรับฟังความคิดเห็นของผู้ประกอบการว่าต้องการให้มีการสนับสนุนส่วนใดบ้าง เพื่อให้การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและระบบสาธารณูปโภคมีความสอดคล้องกัน เนื่องจากนิคมฯพลาสติกแห่งนี้ จะเป็นการรวมกลุ่มในรูปแบบคลัตเตอร์ ซึ่งหากเป็นไปตามแผน คาดว่าอย่างช้าสุดการพัฒนานิคมฯ จะแล้วเสร็จได้ภายในปี 2560 และต้นปี 2561 คาดว่านักลงทุนจะเข้ามาก่อสร้างโรงงานได้
นายอัฒฑวุฒิกล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม นักลงทุนที่จะเข้าไปตั้งโรงงานในนิคมฯพลาสติกนี้ ต้องการให้คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ มีการแก้ไขสิทธิประโยชน์ด้านการลงทุนใหม่ เนื่องจากสิทธิประโยชน์การลงทุนที่ประกาศออกมาใช้กับเขตเศรษฐกิจพิเศษ ยังไม่ครอบคลุมการส่งเสริมกับการตั้งโรงงานผลิตพลาสติกทั่วไป แต่เป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมพลาสติกสำหรับชิ้นส่วนอุตสาหกรรม โดยที่การผลิตพลาสติกทั่วไปที่ใช้ในครัวเรือน เช่น ถังน้ำ กะละมัง เก้าอี้ ถังขยะ และเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น จะไม่ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ซึ่งในส่วนนี้ทางส.อ.ท.เองก็พยายามผลักดันอยู่ เพื่อให้เกิดการจูงใจของผู้ประกอบการที่จะเข้ามาลงทุน
“สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุนที่ประกาศออกมานั้น ยังไม่จูงใจให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ามาตั้งโรงงานในเขตเศรษฐกิจพิเศษ เพราะไม่ได้ช่วยอะไร เมื่อเทียบกับการขยายฐานในพื้นที่เดิม หากบีโอไอตัดประเภทการส่งเสริมจากการผลิตพลาสติกสำหรับชิ้นส่วนอุตสาหกรรม มาเป็นประเภทการผลิตพลาสติก และได้รับการส่งเสริมการลงทุน ก็จะจูงใจให้ผู้ประกอบการขยายฐานการผลิตมายังเขตเศรษฐกิจพิเศษได้มาก”
ส่วนสถานการณ์อุตสาหกรรมพลาสติกในปีนี้ มองว่าจะยังทรงตัวเมื่อเทียบกับปีก่อน แม้ว่าจะได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจก็ตาม โดยช่วง 5 เดือน(มกราคม-พฤษภาคม) ที่ผ่านมา มีการส่งออกเม็ดพลาสติกที่ 2.4 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่า 1.11 แสนล้านบาท และนำเข้ามา 7.8 แสนตัน มูลค่า 5.7 หมื่นล้านบาท โดยมีการส่งออกพลาสติกในรูปผลิตภัณฑ์ 4.36 แสนตัน มูลค่า 4.86 หมื่นล้านบาท
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ