การเลื่อนโครงการรถไฟฟ้า 4 เส้นทาง ไปประมูลในปี 2559 จากแผนเดิมที่รัฐบาลพยายามเร่งประมูลให้ไดในปีนี้ พร้อมเลื่อนทดลองเปิดเดินรถให้บริการประชาชนรถไฟฟ้าสายสีม่วง บางใหญ่-บางซื่อ ที่เดิมจะทดลองวิ่ง ธ.ค.ปีนี้ เลื่อนออกไปเป็น พ.ค. 2559 ทำให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ถึงกับฝันค้าง
เป็นที่คาดหวังกันก่อนหน้าว่า โครงการลงทุนภาครัฐจะช่วยปลุกเศรษฐกิจให้ฟื้นขึ้นมาได้ในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะช่วยทำให้การซื้อขายที่ชะลอตัวมาตลอดตั้งแต่ปีที่แล้วเริ่มขยับขยายได้บ้าง ขณะที่แผนการลงทุนรถไฟฟ้าถือเป็นจุดขายสำคัญของการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ เพราะจะช่วยสร้างดีมานด์ใหม่ๆ หล่อเลี้ยงตลาดให้สามารถประคองตัวอยู่ได้ในภาวะที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว
“ปีนี้เอกชนคาดหวังการลงทุนโครงการเมกะโปรเจกต์ของรัฐเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เพราะปีที่แล้วเอกชนเป็นผู้ขับเคลื่อน แต่จากข่าวเลื่อนประมูลโครงการรถไฟรวมถึง เลื่อนเปิดบริการโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วง ทำให้ภาพครึ่งปีหลังน่าเป็นห่วงว่าจะไม่มีปัจจัยบวกสำคัญๆ ที่จะปลุกเศรษฐกิจให้ฟื้นขึ้นมาได้” วิทการ จันทวิมล รองกรรมการ ผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์การตลาด บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) แสดงความกังวล
สมนึก ตันฑเทอดธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง เห็นว่าการที่รัฐชะลอแผนรถไฟฟ้าเป็นสัญญาณร้ายต่อเศรษฐกิจครึ่งปีหลังที่เดิมคาดว่าจะฟื้นตัวจากการลงทุนภาครัฐ
สำหรับรถไฟฟ้า 4 สายที่จะเลื่อนประมูลออกไป ประกอบด้วย รถไฟฟ้าสายสีส้ม ศูนย์วัฒนธรรมฯ- มีนบุรี สายสีชมพู แคราย-มีนบุรี สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง และสายสีม่วง เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ทั้ง 4 เส้นทาง ครอบคลุมทำเลสำคัญทั่ว กทม.และปริมณฑล จึงประเมินกันว่า การเลื่อนประมูลจะทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นและชะลอการตัดสินใจ จองกลุ่มที่เป็นเรียลดีมานด์ที่พร้อมซื้อออกไป ขณะเดียวกันจะทำให้ไม่เกิดดีมานด์ใหม่ๆ เพิ่มขึ้นด้วย และทำให้ภาคเอกชนชะลอการลงทุน
ธำรง ปัญญาสกุลวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมอาคารชุดไทย มองว่า การชะลอแผนประมูลโครงการรถไฟฟ้าส่งผลร้ายต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมที่ใช้โครงการเหล่านี้เป็นจุดขาย จะทำให้แผนพัฒนาโครงการชะลอออกไป
ขณะที่ วิษณุ เทพเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณุศาศิริ กล่าวว่า อาจมีผลให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ชะลอการลงทุนโครงการใหม่ตามแนวรถไฟฟ้าที่เดิมภาครัฐมีแผนเปิดประมูล สะท้อนได้จากตลาดต่างจังหวัดที่บูมมากเพราะมีข่าวรถไฟฟ้าความเร็วสูง ผู้ประกอบการแห่ไปซื้อที่ดินเตรียมพัฒนาโครงการรองรับ เมื่อโครงการดังกล่าวพับแผน เอกชนก็หยุดสร้างคอนโดมิเนียมตามหัวเมือง เป็นการปรับตัวรับสถานการณ์
อย่างไรก็ตาม หากรัฐกลับมาเดินหน้าเปิดประมูลก็มั่นใจว่าเอกชนที่มีที่ดินตามทำเลนั้นอยู่แล้ว ก็พร้อมกลับมาลงทุนทันที ประกอบกับปัจจัยบวกครึ่งปีหลังที่ยังมีเรื่องเปิดเศรษฐกิจประชาคมอาเซียน หรือเออีซี ที่จะทำให้เศรษฐกิจไทยยังขยายตัว โดยเฉพาะบริเวณชายแดนที่การค้าดีมาก และการท่องเที่ยวที่ยังดี ทำให้ตลาดอสังหาฯ ในเมืองท่องเที่ยวยังไปได้
ด้าน พีระพงศ์ จรูญเอกประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น กลับเห็นว่า การเลื่อนประมูลรถไฟฟ้าจะไม่กระทบมากนัก และปัจจุบันยังมีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายหลายสายที่กำลังก่อสร้าง อีกทั้งแนวโน้มการเบิกจ่ายภาครัฐก็ดีขึ้น เท่าที่เห็นก็กว่า 4 แสนล้านบาทแล้ว เชื่อว่าครึ่งปีหลังเศรษฐกิจจะค่อยๆ ฟื้นตัว
“ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ยังมีความต้องการจาก กลุ่มเรียลดีมานด์ต่อเนื่อง ไตรมาส 3-4 จะเห็นคอนโดมิเนียมราคา 2-3 ล้านบาท เริ่มกลับมา โดยเฉพาะกลุ่มโครงการพร้อมอยู่จะเห็นยอดขายเคลื่อนไหวดีกว่ากลุ่มพรีเซล ซึ่งเริ่มเห็นสัญญาณบ้างแล้วจากหลายโครงการพร้อมอยู่ของบริษัทที่ขายดีกว่าคอนโดพรีเซล ต่างจากสถานการณ์ปกติ” พีระพงศ์ กล่าว
เช่นเดียวกับ ธีรพล วรนิธิพงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ที่มองบวกว่า เป็นโอกาสดีที่ราคาคอนโดมิเนียมทำเลเกาะแนวรถไฟฟ้าเส้นทางใหม่เหล่านั้นจะยังไม่ขึ้นราคามาก เพราะถ้ารถไฟฟ้าเริ่มสร้างราคาจะขึ้น
เมื่อปัจจัยลบที่ยังรุมเร้าอย่างหนัก ขณะที่ปัจจัยบวกเริ่มหดหาย ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ช่วงครึ่งปีหลังยังคงต้องดิ้นรนหนัก เพราะแทบไม่มีแรงกระตุ้นใหม่มาประคับประคองตลาด นอกจากการพึ่งพาตัวเองเป็นหลักเหมือนที่ผ่านมา
“ต้องยอมรับว่าตลาดบ้านโดยรวมยังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งบ้านแนวราบและคอนโด เนื่องจากความสามารถในการซื้อของผู้บริโภคลดต่ำลงจากปัญหาหนี้ครัวเรือน สะท้อนได้จาก อัตราการขายซ้ำจากการปฏิเสธสินเชื่อของบ้าน 1 หลัง จากที่เคยขาย 2-3 ราย เป็น 8-10 คน แล้ว ขณะที่เศรษฐกิจในครึ่งปีหลังยังไม่ดีอย่างที่คิด เพราะมีปัจจัยรุมเร้าหลายประการ ทั้งเศรษฐกิจภายในประเทศ ปัญหาเศรษฐกิจโลก ทั้งจีน ยุโรป” ธำรง กล่าว
ธีรพล กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมยังอืด คนมีเงินในกระเป๋า เพียงแต่อารมณ์ของตลาด ภาวะเศรษฐกิจ อาจจะระวังมากขึ้นในการจับจ่ายใช้สอย โดยสินค้าในส่วนของโนเบิลที่ยังขายดี คือกลุ่ม 5-10 ล้านบาท ยังมีกำลังซื้อที่แข็งแรง แต่กลุ่ม 2-3 ล้านบาท อาจจะอ่อนไหว ซึ่งในส่วนของบริษัทได้เตรียมจัดงาน โนเบิล ดีเดย์ ซึ่งเป็นงานที่รวบรวมคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างขายประมาณ 10 โครงการมาจัด โปรโมชั่น ก็เชื่อว่าจะกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้
เชื่อว่าการจัดกิจกรรมการตลาดจะเข้มข้นและรุนแรงขึ้นโดยเฉพาะโปรโมชั่นที่ช่วยลดภาระให้กับผู้ซื้อบ้านได้ในรูปแบบต่างๆ จะเป็นไฮไลต์ของการทำตลาดในช่วงครึ่งปีหลัง เพื่อเร่งยอดขาย ระบายสต๊อก แปลงเป็นเงินสดเก็บไว้ในสถานการณ์ที่ยังไม่มีอะไรแน่นอน
ที่มา : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์