‘กนง.-กนส.’ห่วงเศรษฐกิจฟื้นตัวช้า ฉุดคุณภาพสินเชื่อแบงก์
“แบงก์ชาติ” เผยความสามารถการชำระหนี้ บริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กเริ่มลดลง สะท้อนผ่าน “ไอซีอาร์” ที่หดตัวลงมาก เผยอยู่ใกล้ระดับที่สุ่มเสี่ยงต่อสภาพคล่องของภาคธุรกิจ หวั่น “เอสเอ็มอี” นอกตลาดได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ขณะที่ กนง. จับตาดูใกล้ชิด
รายงานนโยบายการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เดือนมิ.ย. ระบุว่า เสถียรภาพของภาคธุรกิจยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยภาระหนี้ที่สะท้อนจากสัดส่วนหนี้สิน ต่อทุน (ดี/อี) จากผลดำเนินงานงวดไตรมาสแรก ปี 2558 ไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อนมากนัก โดยความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ย (Interest Coverage Ratio หรือ ICR) ปรับลดลงจากไตรมาสก่อนบ้าง แต่ยังอยู่ ในเกณฑ์ดี
เมื่อจำแนกภาคธุรกิจที่จดทะเบียน ในตลาดหลักทรัพย์จากขนาดเล็กไปขนาดใหญ่โดยแบ่งเป็น 5 กลุ่ม พบว่า กลุ่มบริษัทจดทะเบียน ขนาดใหญ่และกลางยังมีความสามารถในการชำระหนี้ดี สะท้อนจากสัดส่วน ICR ที่สูง
ขณะที่กลุ่มบริษัทที่มีขนาดเล็กสุด พบว่า มีความสามารถในการชำระหนี้ด้อยลงจากสัดส่วน ICR ที่ลดลงค่อนข้างมาก และเข้าใกล้ระดับที่อาจเกิดความสุ่มเสี่ยงต่อสภาพคล่องของธุรกิจมากขึ้น
รายงานนโยบายการเงินระบุว่า หากใช้บริษัทในกลุ่มขนาดเล็กนี้ เป็นตัวแทนของภาคธุรกิจขนาดกลางและย่อม (เอสเอ็มอี) ที่อยู่นอกตลาดหลักทรัพย์ ก็อาจสะท้อนว่า สภาพคล่องและความสามารถในการชำระหนี้ ของเอสเอ็มอี น่าจะมีแนวโน้มลดลง จากผล กระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาในช่วง ที่ผ่านมา จึงเป็นประเด็นที่ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะติดตามต่อไป
สำหรับผลประกอบการโดยรวมของภาคธุรกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ช่วงไตรมาสแรกปีนี้ พบว่า มีแนวโน้มชะลอลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า สะท้อนจากอัตราผลตอบแทนของสินทรัพย์ (ROA) ที่ลดลง เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ฟื้นช้าจึงมียอดขายลดลง
ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารกลับเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไร ซึ่งสะท้อนจากอัตรากำไรสุทธิลดลง เช่น เดียวกับภาคก่อสร้างที่ยังไม่ได้รับผลประโยชน์จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐมากนัก
ตลอดจนธุรกิจกลุ่มปิโตรเลียมที่ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันโลกที่ต่ำกว่าในอดีต ส่งผลให้ความสามารถในการสร้างรายได้ ซึ่งสะท้อนจากอัตราการหมุนเวียนของสินทรัพย์ (ATO) ลดลงมาก แม้ว่าผลจากการรับรู้การขาดทุนของสินค้าคงคลัง และบันทึกการ ด้อยค่าของสินทรัพย์ได้หมดไป จะช่วยให้ผลกำไรดีขึ้นบ้างก็ตาม
ส่วนภาคการโรงแรมและภัตตาคารได้รับผลดีจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ขยายตัวมากขึ้น เช่นเดียวกับภาคขนส่งที่ได้รับประโยชน์จากการขยายตัวของภาคท่องเที่ยวเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจสายการบิน รวมทั้งราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงกว่าในอดีต มีส่วนช่วยให้ผลประกอบการของกลุ่มธุรกิจขนส่งปรับดีขึ้นด้วย
สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์ พบว่า เศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า รายได้ครัวเรือนที่ยังไม่ปรับดีขึ้น ภาระหนี้ครัวเรือนเดิมที่อยู่ระดับสูง และความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน ส่งผลให้อุปสงค์ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอลงชัดเจน ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2558
ขณะเดียวกันผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ยังชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ ต่อเนื่อง แต่การเปิดขายในภาพรวมยังเพิ่มขึ้นเนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่บางส่วนทยอยกลับมาเปิดขายโครงการใหม่ในเดือนเม.ย.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะอาคารชุดตามแนวรถไฟฟ้า ตามแผนธุรกิจของผู้ประกอบการซึ่งคาดว่ากำลังซื้อจะกลับมาในระยะต่อไป
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการบางส่วนปรับกลยุทธ์การขายไปสู่ตลาดที่อยู่อาศัยราคากลางถึงบน ซึ่งคาดว่าเป็นกลุ่มที่ผู้บริโภคยังมีกำลังซื้ออยู่ ทั้งนี้กำลังซื้อในปัจจุบันยังคงน้อยกว่าที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในตลาด ทำให้อัตราการจองซื้อที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ในเดือนเม.ย.2558 อยู่ที่ 20.9% ลดลงต่อเนื่องจากช่วงปลายปี 2557 และอยู่ในระดับต่ำกว่าค่าเฉลี่ยปี 2547-2557 ที่ 37.5% ส่งผลให้ภาวะอุปทานคงค้างมีแนวโน้มสูงขึ้น
สำหรับผลกระทบต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงิน คาดว่าจะอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากฐานะทางการเงินของผู้ประกอบการส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดี สะท้อนจากอัตราส่วนกำไรสะสมต่อสินทรัพย์รวมที่ยังดีต่อเนื่อง และความสามารถในการจ่ายดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง
นอกจากนี้คุณภาพสินเชื่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ครัวเรือน ไม่ได้ด้อยลงมากนัก อีกทั้งสถาบันการเงินระมัดระวังการให้สินเชื่อใหม่ มีการกันสำรองเผื่อหนี้สงสัยจะสูญและเงินกองทุนในระดับสูง ซึ่งจะช่วยรองรับความเสี่ยงจากคุณภาพหนี้ที่ด้อยลงได้ ด้านคณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน(กนส.) ได้ประชุมร่วมกันวานนี้(22มิ.ย.) โดยที่ประชุมแสดงความเป็นห่วงภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า และอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการชำระหนี้ของภาคเอกชน
สำหรับการประชุมร่วมระหว่าง กนง. และ กนส. จะมีขึ้นเป็นประจำปีละ 2 ครั้ง ซึ่งการประชุมวานนี้ถือเป็นการประชุมร่วม ครั้งแรกในรอบปีนี้
รายงานข่าวจากธปท.ระบุว่า การประชุมร่วมดังกล่าว ที่ประชุมเห็นว่า ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจการเงินไทยมีมากขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อความสามารถชำระหนี้ของเอกชน ทำให้คุณภาพสินเชื่อระบบธนาคารพาณิชย์ด้อยลง
ความเสี่ยงที่มากขึ้น ยังไม่ถึงขั้นเป็นความเสี่ยงเชิงระบบ เพราะฐานะการเงินของระบบธนาคารพาณิชย์มีความเข้มแข็งจากเงินกองทุนและการกันสำรองที่อยู่ในระดับสูง ประกอบกับฐานะการเงินของภาคธุรกิจโดยเฉพาะธุรกิจขนาดใหญ่อยู่ในเกณฑ์ดี มีส่วนช่วยรองรับความเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจในระยะต่อไปได้ระดับหนึ่ง
นอกจากนี้ที่ประชุมประเมินว่า ความเสี่ยงจากการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น(Search for yield) ต่อระบบการเงินยังมีจำกัด แต่ต้องติดตามความเสี่ยงรูปแบบใหม่ ภายใต้ภาวะดอกเบี้ยต่ำ ขณะที่ความผันผวนในตลาดการเงินใหม่ซึ่งได้รับผลจากความเปราะบางของเศรษฐกิจโลกยังอยู่ในวงจำกัด
ที่ประชุมเห็นว่า ความเสี่ยงสำคัญที่ต้องติดตามในระยะต่อไป คือ ความเสี่ยงจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้าต่อเนื่องอาจส่งผลต่อการปรับตัวของเอกชนและกระทบฐานะการเงินและความสามารถชำระหนี้ของเอกชนมากขึ้น และอาจกลับมาส่งผล ต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจข้างหน้า
นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอาจทำให้เกิดความผันผวนในตลาดการเงินเพิ่มขึ้นในอนาคต
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ