ศูนย์ข้อมูลฯเผยยอดขายอสังหาฯอีสานยังชะลอตัวแม้รายใหญ่จะยุติลงทุนคอนโดฯบางโครงการ แต่แนวราบยังพอไปได้ ชี้ 5 เดือนแรกปีนี้เปิดตัวโครงการใหม่น้อยมาก ด้าน ส.คอนโดฯแนะอสังหาฯรายเล็กปรับตัวรับความเสี่ยงเศรษฐกิจ
นายสัมมา คีตสิน ผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งขอนแก่น นครราชสีมา อุดรธานี อุบลราชธานีและมหาสารคาม พบว่ามีที่อยู่อาศัยทุกประเภทที่อยู่ระหว่างขายอยู่ที่ประมาณ 33,950 ยูนิต โดยจังหวัดที่มีมากที่สุดคือ นครราชสีมาอยู่ที่ 16,500 ยูนิต รองลงมาคือขอนแก่น 8,000 ยูนิต ขณะที่อุดรธานีอยู่ที่ 4,800 ยูนิต อุบลราชธานีอยู่ที่ 2,470 ยูนิต และมหาสารคามอยู่ที่ 2,180 ยูนิต ส่วนจำนวนยูนิตเหลือขายพบว่าขอนแก่นมียูนิตเหลือขายรวม 2,153 ยูนิต นครราชสีมีเหลือขาย 4,708 ยูนิต มูลค่า 22,200 ล้านบาท อุดรธานีเหลือขาย 1,245 ยูนิต มูลค่า 3,300 ล้านบาท อุบลฯ 1,877 ยูนิตและมหาสารคาม 1,221 ยูนิต
“โดยภาพรวมบ้านจัดสรรยังพอไปได้ แต่ตลาดคอนโดฯชะลอตัวในทุกจังหวัด หลังจากผู้ประกอบการรายใหญ่ยุติโครงการคอนโดฯบางโครงการ ทำให้อุปทานลดลงและภาวะความสมดุลของตลาดดีขึ้นทั้งในขอนแก่น และอุดรฯ ส่วนการเปิดขายใหม่มีน้อยมากใน 5 เดือนแรก ของปีนี้” นายสัมมากล่าว
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจปีนี้จะขยายตัวได้ประมาณ 3% โดยเศรษฐกิจขณะนี้ยังชะลอตัว ภาครัฐจะต้องมีการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเชื่อมั่นให้ฟื้นกลับมา ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน การส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว เป็นต้น เพราะถ้าเศรษฐกิจภาพรวมดี ภาคอสังหาริมทรัพย์ก็จะดีตามไปด้วย
“ขณะนี้เศรษฐกิจไม่ดี แบงก์เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อโครงการ กระทบกับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายกลางรายเล็ก เพราะการพัฒนาโครงการต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก ทั้งในแง่การซื้อที่ดินและการก่อสร้าง และอัตราดอกเบี้ยกู้สถาบันการเงินอยู่ที่ 5-6% ทำให้เห็นการควบรวมบริษัท หรือการซื้อกิจการ ในกลุ่มบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ตั้งแต่ปี 2557 ที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน เพื่อให้สามารถแข่งขันกับรายใหญ่ในตลาดได้ ส่วนผู้ประกอบการรายใหญ่ หันมาใช้การออกหุ้นกู้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเพียง 3-4% ดังนั้น ผู้ประกอบการรายกลาง-เล็ก จะต้องระมัดระวังในการเปิดโครงการใหม่ การทำการตลาด ควรพัฒนาโครงการในพื้นที่ที่มีความชำนาญ หรือเลือกพัฒนาโครงการแนวราบที่มีความเสี่ยงต่ำ เพราะการพัฒนาคอนโดมิเนียมต้องใช้ระยะเวลา 2-3 ปี กว่าที่จะได้เงินกลับมา อาจจะทำให้ติดกับดักสภาพคล่องได้ ไม่มีเงินสดหมุนเวียนจนกระทบบริษัทได้” นายประเสริฐกล่าว
นายประเสริฐกล่าวว่า ยังพบว่า แม้ภาวะเศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัวดีนัก แต่ช่วงครึ่งปีแรก 2558 ราคาที่ดิน โดยเฉพาะย่านใจกลางเมืองและแนวรถไฟฟ้าปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง 30-40% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ต้นทุนที่ดินที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาขายคอนโดมิเนียมปรับเพิ่มขึ้น 20-30% ซึ่งราคาขายคอนโดมิเนียมบนถนนสุขุมวิท ปัจจุบันเริ่มต้นที่ 250,000-300,000 บาทต่อตารางเมตร
ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน