“โฮมโปร”เร่งเครื่องกระตุ้นยอดครึ่งปีหลัง หลังประเมินตลาดฟื้นยาก ยังคงเผชิญปัจจัยลบ “ภัยแล้ง-ส่งออกชะลอ-ศก.ต่างประเทศทรุด” ฉุดกำลังซื้อ เร่งอัดแคมเปญหวังกระตุ้นกำลังซื้อคนกรุง ทดแทนรายได้ต่างจังหวัด เผยภัยแล้ง ดัน แท้งค์-ปั๊มน้ำ ยอดพุ่งกระฉูด 30% เพิ่มสต๊อกสินค้า 4 เท่า ด้าน “เมกาโฮม” ชูกกลยุทธ์เจาะช่องว่างตลาด ดันยอดขาย
“ตลาดค้าวัสดุก่อสร้าง” ถือเป็นอีกดัชนีชี้วัดเศรษฐกิจ “โฮมโปร” ธุรกิจค้าวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านรายใหญ่ ซึ่งมีบมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ถือหุ้นใหญ่ 30.23% และ บมจ.ควอลิตี้ เฮ้าส์ ถือหุ้น 19.87% ออกมายอมรับว่า ตลาดครึ่งปีแรกยังคงชะลอตัว และไม่อาจคาดหวังตลาดครึ่งปีหลัง จึงจำเป็นต้องเร่งแคมเปญระหว่างทาง เพื่อกระตุ้นยอดขายให้เป็นไปตามเป้า
นายณัฎฐ์ จริตชนะ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาดบริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) ธุรกิจค้าวัสดุและอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร “โฮมโปร” ที่มีนายอนันต์ อัศวโภคิน ประธานและกรรมการผู้จัดการบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) นั่งเป็นประธานกรรมการ เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ครึ่งปีหลัง โดยจะเพิ่มความเข้มข้นการทำตลาดมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดที่คาดว่า จะไม่ดีขึ้น จากเดิมที่เคยประเมินว่า เศรษฐกิจจะดีขึ้นครึ่งปีหลัง แต่จากปัจจัยลบหลายประการ อาทิ ภัยแล้ง การส่งออกชะลอตัว ปัญหาเศรษฐกิจภายนอกประเทศ อาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง แม้อาจจะมีโครงการของภาครัฐออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ ก็ตาม
สำหรับยอดขายของโฮมโปรในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ เติบโตเพิ่มขึ้น 10.7% โดยช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาตลาดในกรุงเทพฯยังเติบโต ขณะที่ตลาดต่างจังหวัดที่ประสบปัญหาภัยแล้งชะลอตัวลง ยกเว้นภาคใต้ตลาดทรงตัว ขณะที่เมืองท่องเที่ยวตลาดยังเติบโตได้ดี ซึ่งคาดว่ายอดขายครึ่งปีแรก จะเติบโต 10%
ดังนั้น เพื่อเป็นการป้องกันความเสี่ยง บริษัทเร่งการจัดแคมเปญกระตุ้นยอดขายมากขึ้น แทนที่จะรอจัดงาน เอ็กซ์โปร ในช่วงปลายปี หรือพึ่งยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง จึงเร่งกระตุ้นยอดขายตุนไว้ตั้งแต่ขณะนี้ เพื่อให้ยอดขายเติบโตได้ 15% ตามเป้าหมายที่วางไว้
โดยทุ่มงบประมาณ 15 ล้านบาท จัดแคมเปญ“แบงคอก เซลส์ 21 วัน 21 สาขา” แคมเปญที่จัดขึ้นพิเศษ ส่วนการที่เลือกจัดแคมเปญในเขตกรุงเทพฯ เนื่องจากเป็นตลาดที่ยังเติบโต แม้กำลังซื้อบางส่วนชะลอตัว แต่หากมีแคมเปญแรงๆออกมาก็จะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อได้มาก
อัดแคมเปญดันกำลังซื้อคนกรุง
“ช่วงครึ่งปีหลัง เศรษฐกิจอาจจะไม่ได้เติบโตอย่างที่คาดการณ์ไว้ เราจำเป็นต้องเร่งทำยอดขายช่วงระหว่างทางของปี แทนที่จะไปพึ่งยอดขายในช่วง 2 เดือนสุดท้าย จึงเลือกที่จะกระตุ้นตลาดกรุงเทพฯที่ยังดีอยู่ โดยเฉพาะเมื่อมีแคมเปญจะกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น ส่วนตลาดต่างจังหวัด พบว่าการซื้อต่อบิลลดลง และซื้อสินค้าที่มีความต้องการเท่านั้น เนื่องจากมีกังวลต่อรายได้และภาวะเศรษฐกิจ”
สำหรับงาน แบงค็อก เชลล์ 21 วัน 21 สาขา จัดเฉพาะ 21 สาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑล ระหว่างวันที่16 ก.ค.-5 ส.ค.58 โดยร่วมกับคู่ค้านำสินค้ามาระบายสต็อก ลดราคา เพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับมา ด้วยกลยุทธ์ คุ้มค่า ลดราคา สูงสุดกว่า 80 % ทั้งการบริการ“โฮมเซอร์วิส” ติดตั้ง จัดส่งฟรีทั่วไทย สำหรับไฮไลต์ของแคมเปญครั้งนี้ จัดโปรโมชั่นลดสูงสุด 80 %
“บริษัทเชื่อมั่นว่างานนี้จะได้รับการตอบรับจากแฟนพันธุ์แท้โฮมโปร ตอบโจทย์ลูกค้าได้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยสินค้ามากมายที่ยกขบวนมาลดราคากระหน่ำ การจัดแคมเปญในครั้งนี้คาดว่า จะมียอดขายกว่า1,300 ล้านบาท”
‘ปั๊มน้ำ-แท้งค์น้ำ’ ยอดขายพุ่ง30%
อย่างไรก็ดี จากปัญหาภัยแล้งเกิดขึ้นมาตั้งแต่เดือนเม.ย. ที่ผ่านมาพบว่า ยอดขายสินค้าสู้ภัยแล้ง เช่น ปั๊มน้ำ แท้งค์น้ำ มียอดขายเพิ่มขึ้นกว่า 30% โดยเฉพาะในพื้นที่ภัยแล้ง ทำให้บริษัทต้องสต็อกสินค้าเพิ่ม 3-4 เท่าตัว
สำหรับแผนการลงทุนเปิดสาขาใหม่ในปีนี้จะมีทั้งสิ้น 5 สาขา โดยในครึ่งปีแรก เปิดไปแล้ว 4 สาขา และในครึ่งปีหลังจะเปิดตัวอีก 1 สาขา ที่อมตะนคร จ.ชลบุรี โดยแต่ละสาขาจะใช้เม็ดเงินลงทุนประมาณ 300-600 ล้านบาท ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับที่ดินในแต่ละทำเลและการก่อสร้าง
นายณัฎฐ์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมของธุรกิจค้าปลีกในครึ่งปีหลัง เชื่อว่าจะยังคงแข่งขันรุนแรง ยังคงเห็นกลยุทธ์ที่เป็น “ซีซันนัล มาร์เก็ตติ้ง” ที่จะถูกนำมาใช้เป็น กลยุทธ์หลักในการกระตุ้นบรรยากาศให้เกิดการจับจ่ายด้วย
สิ้นปีนี้ เชื่อมั่นว่าจะมียอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยปัจจุบันมีลูกค้าที่เป็นสมาชิกโฮมการ์ดกว่า2.4 ล้านคน แบ่งเป็น สมาชิกในกทม. และปริมณฑล 45% ในต่างจังหวัด 55% โดยยอดของสมาชิกต่อยอดขายเฉลี่ย 87% โดยสมาชิกในกทม.และปริมณฑล มียอดซื้อเฉลี่ย 7,200 บาทต่อคนต่อเดือน และสมาชิกต่างจังหวัด เฉลี่ย 8,400 บาท ต่อคน ต่อเดือน
“เมกาโฮม”แจงตลาดทรงตัว
นางสุพรศรี นาคธนสุกาญจน์ ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการและบริหารกลุ่มสินค้า บริษัท เมกา โฮม เซ็นเตอร์ จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์สินค้าวัสุดก่อสร้าง และตกแต่งบ้านในปีนี้ว่า ภาพรวมตลาดอยู่ในภาวะไม่เติบโตมากนัก ทำให้ผู้ประกอบการจะต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพื่อหาช่องว่างทางการตลาด กระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภค
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมของการขยายตัวธุรกิจในครึ่งปีแรกของบริษัท เติบโต 15% จากการขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขา ที่ อรัญประเทศ จ.ปราจีนบุรี และมีนบุรี กรุงเทพฯ สิ้นปีนี้คาดว่า จะมีสาขาทั้งสิ้น 7 สาขา รายได้ปีนี้คาดว่าจะอยู่ราว 4,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 48% จากปีที่ผ่านมา มูลค่ารวม 2,700 ล้านบาท
“ต้องยอมรับว่า ตลาดรวมโตไม่มากนัก จึงต้องอาศัยการหาช่องว่างการตลาดเพื่อให้ตอบโจทย์ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้กลุ่มธุรกิจเมกา โฮมได้ทำการบ้านหนักเพื่อออกแบบกลยุทธ์ธุรกิจให้สอดคล้องตรงเป้าหมาย โดยเฉพาะการจับกลุ่มเป้าหมายไปที่กลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้าง และช่างตกแต่ง ที่เป็นกลุ่มมีความต้องการสินค้าเหล่านี้ยาวนานและต่อเนื่อง แต่ละโครงการบ้านไม่ต่ำกว่า 30-50 หลัง หรือแม้กระทั่งคอนโดประมาณ 100-200 ห้อง อีกทั้งยังเป็นโครงการต่อเนื่อง ตั้งแต่การวางฐานราก ออกแบบตกแต่งภายใน สินค้าเครื่องใช้ในบ้าน จึงทำให้จำหน่ายสินค้าได้เวลาทุกช่วง”
รักษาฐานลูกค้าเก่า-ขยายลูกค้าใหม่
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เช่นนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือ พัฒนาตลาดค้นหาฐานลูกค้า และรักษาฐานลูกค้าเก่า ไปพร้อมกับการขยายฐานลูกค้าใหม่ ซึ่งปัจจุบันเมกาโฮมมีสมาชิก 1.7 แสนราย คาดว่าต้นปี2559 จะขยายเป็น 3แสนราย
กลยุทธ์สำคัญคือ การพัฒนา “ฐานข้อมูลลูกค้า” โดยการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคเพื่อออกแบบสินค้าได้ตรงกับกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งราคาสินค้าของเมกาโฮมค่อนข้างต่ำกว่าคู่แข่ง เนื่องจากจำหน่ายยกล็อต หรือค้าส่งเป็นหลัก แบบวันสต็อปเซอร์วิสเกี่ยวกับบ้าน (จุดบริการจุดเดียว) แทนการปล่อยให้ลูกค้าไปค้นหาผลิตภัณฑ์จากแหล่งอื่น
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ