ความคิดในการออก พ.ร.บ.ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของรัฐบาล คสช. ต้องถูกชะลอไปก่อน เพราะมีกระแสความตื่นตระหนกของประชาชนผู้อยู่ในข่ายที่ต้องเสียภาษีนี้มาก หากร่าง พ.ร.บ.นี้มีผลบังคับใช้
หลายข่าว หลายความคิดมองว่า ในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันยังไม่ควรเก็บภาษีนี้ รอไว้เมื่อถึงเวลาเหมาะสมอีก 2-3 ปีข้างหน้าค่อยเก็บ
แต่ในขณะเดียวกันกฎหมายที่ออกก็ต้องไม่มีผลกระทบกับคนระดับกลางหรือที่เพิ่งตั้งตัวได้ รวมทั้งผู้มีรายได้น้อยหรือระดับรากหญ้า ซึ่งเป็นประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
ผมเองโดยส่วนตัวในระหว่างที่รับราชการในเทศบาลต่างจัง หวัดและหัวหน้าเขตในกรุงเทพมหานครช่วงหนึ่ง ก็ได้เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตามกฎหมายที่มีอำนาจประเมินภาษีและจัดเก็บด้วย
กฎหมายที่ว่านั้นมีอยู่ 2 ฉบับ 1.พ.ร.บ.ภาษีโรงเรือนและที่ดิน พ.ศ.2475 ซึ่งมีการแก้ไข 5 ครั้ง ครั้งหลังสุดปี พ.ศ.2543 ซึ่งเป็นฉบับที่ 5
2.พ.ร.บ.ภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ.2508 ซึ่งมีการแก้ไข 3 ครั้ง ครั้งหลังสุดปี พ.ศ.2543 และยังมี พ.ร.บ.กำหนดราคาปานกลางของที่ดินสำหรับการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ.2529 ซึ่งกฎหมายฉบับนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นกฎหมายควบกับกฎหมายภาษีบำรุงท้องที่ก็ได้
โดยมาตรา 3 ของกฎหมายที่บัญญัติว่าให้นำราคาปานกลางของที่ดินที่ใช้อยู่ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่ พ.ศ.2521 ถึง พ.ศ.2524 ซึ่งใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับปี พ.ศ.2529 มาใช้ในการประเมินภาษีบำรุงท้องที่สำหรับ ปี พ.ศ.2530 และปีต่อๆ ไปตามที่จะได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนด และจนกระทั่งบัดนี้ยังไม่ได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาใหม่เลย องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ยังคงใช้ราคาปานกลางของที่ดินที่ประเมินเพื่อใช้ระหว่างปี พ.ศ.2521 กับ พ.ศ.2524 จึงเป็นเวลาเกือบ 40 ปีแล้ว
ทั้ง 2 ฉบับนี้ เป็นภาษีที่เป็นรายได้หลักขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น คือ เทศบาล องค์การบริหารส่วนตำบล กรุงเทพมหานคร และเมืองพัทยา ซึ่งรวมแล้วทั้งประเทศเก็บได้ประมาณ 25,000 ล้านบาทต่อปี
การประเมินภาษีโรงเรือนและที่ดิน ให้ชำระภาษีปีละครั้งตามค่ารายปีของทรัพย์สิน คือโรงเรือนและสิ่งปลูกสร้างอย่างอื่นกับที่ดิน ซึ่งใช้ต่อเนื่องกันในอัตราร้อยละ 12.5 ของค่ารายปี
โดยค่ารายปีหมายความว่าจำนวนเงินซึ่งทรัพย์สินนั้น สมควรให้เช่าได้ปีหนึ่งๆ ทั้งนี้ กฎหมายยังได้กำหนดให้ทรัพย์สินบางประเภทได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี และบางประเภทมีการลดหย่อนอัตราการจัดเก็บตามบทบัญญัติในกฎหมายฉบับนี้
ภาษีโรงเรือนและที่ดินประกาศใช้เมื่อปี พ.ศ.2475 จนถึงปัจจุบัน รวมเวลา 83 ปี ซึ่งถือว่าเป็นเวลาที่ค่อนข้างยาวนานมาก คือเกือบจะถึง 100 ปี
การกำหนดค่าภาษีที่ดินคิดจากราคาค่าเช่าในแต่ละปี ซึ่งการคิดเช่นนี้เป็นช่องโหว่สำคัญที่พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจประเมินจะใช้ดุลยพินิจได้ คือขึ้นอยู่กับความพอใจของผู้ประเมิน จริงอยู่ในทางปฏิบัติอาจจะมีกรอบการประเมินที่กำหนดไว้อย่างกว้างๆ ให้พนักงานเจ้าหน้าที่เลือกช่องทางประเมินก็ตาม แต่ก็อยู่บนพื้นฐานของค่าภาษีที่สมควรให้เช่าได้ในปีหนึ่งๆ
การต่อรองระหว่างผู้รับการประเมินภาษีกับผู้รับการประเมิน จึงทำได้เสมอ กฎหมายฉบับนี้จึงล้าหลังและไม่เป็นธรรมกับผู้เสียภาษีเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนภาษีบำรุงท้องที่ ซึ่งประกาศใช้มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2508 รวมเวลา 50 ปีแล้ว ก็เป็นภาษีที่ค่อนข้างล้าหลังและเก็บได้น้อย และที่สำคัญก็คือใช้อัตราราคาปานกลางของที่ดินที่กฎหมายบัญญัติไว้ระหว่างปี 2521-2524 เป็นเวลาเกือบ 40 ปีแล้วเป็นหลัก ทั้งๆ ที่ราคาปานกลางของกรมที่ดินที่เรียกเก็บจากการทำธุรกรรมที่ดินต่างๆ ได้เปลี่ยนแปลงสูงขึ้นมากหลายเท่า
เช่น ราคาปานกลางเมื่อปี พ.ศ.2521 บางแห่งมีราคาประมาณ 100 บาทต่อไร่ หรือต่อตารางวา บัดนี้อาจจะถึง 100,000 บาท หรือ 1,000,000 บาทก็ได้ เวลาที่ผ่านมาเกือบ 40 ปีนั้น สภาพความเจริญได้มีมากขึ้น ทำให้ที่ดินมีราคาสูงขึ้น แต่การเก็บค่าภาษีบำรุงท้องที่ก็ยังคงเก็บในอัตราเดิมที่กำหนดไว้เมื่อ 40 ปีที่แล้ว ทำให้ภาษีที่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นควรจะได้เพิ่มเพื่อนำมาพัฒนาท้องถิ่นก็ไม่ได้เพิ่ม และนอกจากไม่ได้เพิ่มแล้ว ก็ยังลดลงอีก ถ้าหากที่ดินแปลงนั้นเปลี่ยนสภาพมาเป็นที่อยู่อาศัยหรือสร้างโรงเรียน หรือที่ใช้ในทางราชการ
ผมได้อ่านบทความของหลายคนที่เขียนถึงเรื่องการออกกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างแล้ว ทุกบทความมีความเห็นตรงกันว่า ถึงเวลาแล้วที่ต้องมีพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ถือว่าเป็นภาษีทางตรงที่เก็บจากผู้มีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเหมือนกับนานาประเทศทั้งหลาย ทั้งนี้เพื่อ
– ขจัดความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยการกระจายที่ดินที่อยู่ในมือของผู้มีฐานะหรือเป็นเศรษฐีออกไปสู่คนทุกระดับให้มีที่ดินทำกิน ไม่ใช่กระจุกอยู่กับคนรวยไม่กี่คน ดังข้อมูลที่ระบุว่าที่ดินที่ออกโฉนด น.ส.3 ก. น.ส.3 และใบจองประมาณ 300 ล้านไร่ จากทั้งหมดประมาณ 320 ล้านไร่ เป็นกรรมสิทธิ์ของคนรวยมากกว่าร้อยละ 60 ส่วนคนจนไม่เกินร้อยละ 40
– ที่ดินส่วนใหญ่ที่มีราคาแพง และไม่แพงนักจะกระจุกอยู่ในมือของกลุ่มผู้ร่ำรวยมั่งคั่งเพียงส่วนน้อยเท่านั้น ซ้ำยังมีที่ดินที่ปล่อยให้ว่างเปล่าไม่ทำประโยชน์ บางส่วนก็เหมือนถูกลอตเตอรี่ เพราะราคาที่ดินสูงขึ้นจากการพัฒนาถนน ทางรถไฟ หรือสถานที่ราชการ อื่นๆ เป็นต้น
– โดยหลักคิดแล้วการเก็บภาษีทางตรง จะมีผลกระทบกับบุคคลในวงจำกัดที่เกี่ยวข้องเท่านั้น ส่วนภาษีทางอ้อมซึ่งประเทศไทยเรามีการจัดเก็บกันมาก ดังเช่นภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) จะมีผลกระทบทุกคน ไม่ว่าคนรวยหรือคนจนต้องเสียเท่ากันเมื่อใช้จ่ายเงินซื้อสินค้า
– การเก็บภาษีนี้น่าจะมีส่วนช่วย ให้การซื้อขายที่ดินเพื่อเก็งกำไรลดลง เพราะปัจจุบันมีการเก็งกำไรในการซื้อขายที่ดินจนทำให้ราคาพุ่งพรวดเกินความเป็นจริงอย่างที่เกิดขึ้นในบางแห่งในปัจจุบันนี้ เช่น อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก ซึ่งรัฐบาลประกาศจะยกฐานะเป็นเมืองเศรษฐกิจพิเศษชายแดน ทำให้เศรษฐีมีเงินหรือผู้ทรงอิทธิพลภาคเหนือในยุคที่ผ่านมา ไปซื้อที่ดินไว้เก็งกำไรกันอย่างมาก เป็นต้น
– ระยะยาวระบบการจัดเก็บภาษีนี้ จะช่วยให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ มีความโปร่งใสขึ้นเหมืองดังที่ตัวแทนสมาคมอสังหาริมทรัพย์เคยให้ข่าวเมื่อเร็วๆ นี้
– กรุงเทพโพลของ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพร่วมกับกลุ่มเศรษฐศาสตร์จากองค์กรชั้นนำ 29 แห่ง สำรวจระหว่างวันที่ 13-20 มี.ค.2558 ปรากฏว่า ร้อยละ 58.5 เห็นด้วยกับกฎหมายฉบับนี้ เพราะช่วยลดความเหลื่อมล้ำและเป็นรายได้ให้ อปท. เพื่อพัฒนาท้องถิ่น โดยร้อยละ 55.4 เสนอให้เก็บภาษีจากบ้านที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท ส่วนอีกร้อยละ 33.8 สนับสนุนบ้านอยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท เป็นต้น
สำหรับความเห็นของผมนั้น เห็นควรออกกฎหมายฉบับนี้ด้วยเหตุผล
– แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำของสังคม โดยคนรวยต้องจ่ายภาษีมากกว่าคนมีฐานะด้อยกว่า
– เป็นรายได้ อปท. จะได้นำมาพัฒนาท้องถิ่น โดยไม่เป็นภาระของรัฐบาล ที่ปีหนึ่งๆ จะต้องใช้จ่ายเงินอุดหนุนถึงปีละประมาณ 200,000 ล้านบาท ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
– โดยความเป็นจริง คนในพื้นที่ที่มีความพอใจที่จะเสียภาษีให้กับหน่วยท้องถิ่นในพื้นที่มากกว่าจ่ายให้รัฐส่วนกลาง เพราะเขารู้ดีว่าเงินที่เขาเสียภาษีนั้น จะนำมาใช้จ่ายเพื่อพัฒนาในท้องถิ่นที่ตนอยู่ ไม่ใช่จ่ายภาษีไปแล้ว แต่เงินของเขาต้องส่งไปรวมที่กระทรวงการคลัง ซึ่งก็ไม่แน่นอนว่าจะส่งคืนมาเพื่อใช้พัฒนาสร้างความเจริญให้ท้องถิ่นของเขาหรือไม่ หรือจำนวนมากน้อยแค่ไหน
– เป็นการสร้างความเข้มแข็ง ให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งจะเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยระดับชาติด้วย เพราะถ้าตราบใด อปท.ยังไม่เข้มแข็งก็จะส่งผลถึงความเป็นประชาธิปไตยระดับชาติไม่เข้มแข็งไปด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่น่าห่วงสำหรับการพัฒนาระบอบประชาธิปไตยของเราที่ยังอ่อนแอ เพราะฐานรากไม่เข้มแข็ง
การให้เงินอุดหนุนเฉพาะกิจจำนวนเกือบ 100,000 บาทต่อปี (ไม่รวมเงินอุดหนุนทั่วไปอีกปีละประมาณ 100,000 ล้านบาท) แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ผ่านมา มีการทุจริตไม่โปร่งใสมาก เพราะเมื่อ อปท.ขอเงินอุดหนุนเฉพาะกิจจากกระทรวงมหาดไทย ก็มีข่าวว่าจะถูกเรียกเก็บเป็นเปอร์เซ็นต์ตั้งแต่ระดับอำเภอ จังหวัด กรม และกระทรวง ผู้มีอำนาจอนุมัติ รวมทั้งยังมีการร่วมมือระหว่าง ส.ส.พื้นที่ที่อยู่ฝ่ายรัฐบาลกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่ต้องการเงินอุดหนุน รวมทั้งสายงานราชการของกระทรวงมหาดไทยตั้งแต่ระดับภูมิภาค จนถึงระดับส่วนกลางด้วย
เงินที่ได้รับอุดหนุนจึงเหลือเพื่อใช้พัฒนาท้องถิ่นตามวัตถุ ประสงค์น้อย และบางกรณีก็ต้องขออุดหนุนจำนวนมากๆ เกินกว่าความเป็นจริงเพื่อกันไว้ให้ทุกโต๊ะที่ผ่าน เพื่อให้เหลือเพียงพอกับปริมาณงานที่ต้องทำ
ฉะนั้น ถ้าเมื่อใด อปท.มีรายได้ที่จัดเก็บเองได้อย่างชัดเจน โดยมีกฎหมายบัญญัติไว้ อย่างเช่น ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อปท.ก็สามารถวางแผนการใช้จ่ายเงินในแต่ละปี หรือจัดทำแผนพัฒนา 5 ปี หรือกี่ปีเพื่อการพัฒนาท้องถิ่นหรือการบริหารจัดการก็สามารถวางแผนจัดทำงบประมาณประจำปีได้อย่างเหมาะสม เพราะสามารถคำนวณรายได้ได้อย่างใกล้เคียงกับเงินที่ต้องจ่าย
แต่ถ้าเป็นรายรับที่มาจากการให้เงินอุดหนุนจากรัฐบาล อปท.เองก็ไม่สามารถประมาณการค่าใช้จ่ายเพื่อวางแผนพัฒนาเป็นระยะเวลาเท่าใดได้ เนื่องจากตัวเลขของเงินอุดหนุนเฉพาะกิจมีความไม่แน่นอน เพราะผลพวงส่วนหนึ่งก็มาจากการวิ่งเต้นนั่นเอง ฉะนั้น อปท.จึงมีปัญหาอยู่มากในการวางแผนพัฒนาท้องถิ่นของเขา เพราะอุปสรรคของการที่ไม่สามารถกำหนดวงเงินงบประมาณในแต่ละปีได้ ตราบใดที่เงินจำนวนหนึ่งเป็นรายรับที่มาจากเงินอุดหนุนจากส่วนกลาง ซึ่งไม่แน่นอนเรื่องจำนวนเงินและการกำหนดเวลา
ผมจึงมีความเห็นเป็นข้อเสนอว่า ในเมื่อ คสช. และรัฐบาลได้ประกาศเป็นนโยบายที่จะออกกฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง หรือภาษีทรัพย์สิน (Property Tax) โดยมีเจตนาให้ อปท.มีรายได้ที่มั่นคง แน่นอน และเพียงพอต่อการพัฒนาในท้องถิ่นนั้นๆ แทนราชการส่วนกลาง โดยไม่เป็นภาระของรัฐบาลที่ต้องมาจัดสรรเป็นเงินอุดหนุนให้ในแต่ละปีประมาณ 200,000 ล้านบาทเท่าที่ผ่านมา โดยเงินจำนวนนี้รัฐบาลจะได้จัดสรรไปจัดทำอย่างอื่นเพื่อประโยชน์สุขของประชาชนต่อไป ฉะนั้น รัฐบาลควรดำเนินการออกกฎหมายฉบับนี้ในยุคที่ยังคงมี คสช.อยู่ เพื่อให้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในอนาคตสามารถจัดเก็บภาษีนี้ได้ โดยควรจะทำให้แล้วเสร็จภายในปี 2558 นี้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขดังนี้ คือ
1.กระทรวงการคลังต้องพิจารณาร่วมกับบุคคลหรือองค์กรที่เกี่ยวข้อง เช่น สมาคมอสังหาริมทรัพย์ นักวิชาการ เหมือนดังเช่นที่กระทรวงการคลังดำเนินการอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้าน
อาศัยอยู่เอง ว่าควรกำหนดอย่างไรเพื่อมิให้กลุ่มคนระดับกลางเหล่านี้ไม่กระทบกระเทือนมากนัก และพอรับได้ อีกกลุ่มหนึ่งก็คือ ชาวไร่ ชาวนา ซึ่งเป็นคนส่วนมากของประเทศสามารถรับได้เช่นเดียวกัน
2.ในระหว่างที่กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลังต้องประเมินราคากลางที่ดินและทรัพย์สินทั้งประเทศ ซึ่งเข้าใจว่าต้องใช้เวลาอีกไม่น้อยกว่า 2 ปี และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่เป็นผู้จัดเก็บภาษีนี้ ก็ต้องจัดเตรียมความพร้อมในการปฏิบัติไว้ล่วงหน้า
ด้วยเหตุผลเหล่านี้ กฎหมายฉบับนี้จึงควรประกาศใช้ภายหลังได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว 3 ปี คือ ประมาณวันที่ 1 มกราคม 2562
3.ผมไม่เห็นด้วยที่มีบางความคิด เสนอให้ออกกฎหมายภาษีบำรุงท้องที่ หรือภาษีที่ดิน โดยไม่รวมสิ่งปลูกสร้างด้วย เพราะถ้าทำเช่นนั้นก็เท่ากับว่า
– ไม่ได้แก้ความเหลื่อมล้ำของสังคมได้ เพราะการเก็บภาษีที่ดินอย่างเดียว จะเก็บในอัตราต่ำ และถ้าไม่แก้ให้เก็บในอัตราก้าวหน้าด้วยแล้ว คนมีที่ดินมากๆ ก็คงจะเก็บที่ดินให้ว่างเปล่าไว้เช่นเดิม ในเมื่อเสียภาษีไม่สูงนัก
– การปรับปรุงกฎหมายที่ดินล้วนๆ จะมีผลกระทบกับเกษตรกรหรือผู้มีรายได้น้อยมากกว่าคนรวย หรือที่มีที่ดินมากๆ ถ้ากำหนดอัตราไม่เหมาะสมกับความเป็นจริง
– บรรดาเศรษฐีทั้งหลาย ก็มีความพึงพอใจ เพราะบ้านอยู่อาศัยราคา 10 ล้านบาท หรือ 100 ล้านบาท ก็ยังคงไม่ต้องเสียภาษีเช่นเดิม นั่นก็เท่ากับว่า รัฐไปเก็บภาษีกับชาวนา ชาวไร่ ชาวสวน ที่รวมกันแล้วมีที่ดินทำกินจำนวนมาก ซึ่งจะกลายเป็นปัญหาทางสังคมต่อไป
– ที่ดินว่างเปล่าที่อยู่ในที่ทำเลทอง ในเมือง เช่น เขตชั้นในของกรุงเทพมหานคร หรือในเขตเทศบาล ที่ชุมชนหนาแน่นก็จะเสียภาษีเพิ่มขึ้นไม่มากนัก เพราะจริงๆ แล้วพื้นที่ว่างเปล่าในเมืองมีไม่มากเท่าไหร่
– อาจจะมีคนเลี่ยงภาษี โดยการปลูกบ้านอยู่เอง ปลูกสวนผลไม้ สวนผัก หรือปลูกอื่นๆ ในพื้นที่ว่างที่อยู่ในเมือง โดยอ้างว่าไม่ใช่พื้นที่ว่างเปล่าก็ได้ เพราะฉะนั้นการเขียนกฎหมายภาษีที่ดิน จึงต้องชัดเจนในเรื่องนี้
– การเก็บภาษีที่ดิน (ไม่รวมสิ่งปลูกสร้าง) จะทำให้รายได้ของ อปท.ไม่คงที่ เพราะเจ้าของที่ดินอาจใช้ที่ดินเพื่อประโยชน์อย่างอื่นได้ในเวลาที่ไม่นานนัก เช่น เป็นที่อยู่อาศัย หรืออย่างอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ต้องเสียภาษีก็อาจมีความเป็นไปได้สูง
สรุปแล้ว ผมเห็นว่ากฎหมายภาษีและที่ดินควรจะออกได้ในยุคนี้ มิฉะนั้นจะไม่มีโอกาสได้มีกฎหมายนี้ออกมาใช้อย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้ต้องทบทวนอัตราการเก็บภาษีเกี่ยวกับบ้านอยู่อาศัย ที่ดินของชาวไร่ ชาวนา และระยะเวลาที่ ประกาศใช้ ก็ควรเริ่มตั้งแต่ 1 มกราคม 2562 เป็นต้นไป เพื่อให้ทุกฝ่ายทั้งเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้เสียภาษีมีความพร้อม
เรื่องนี้รัฐบาลไม่ควรลังเลใจ เพราะในอนาคตกฎหมายนี้จะต้องออกมาใช้อย่างแน่นอน ฉะนั้นในเวลานี้รัฐบาลต้องศึกษาให้รอบคอบ และต้องฟังความเห็นจากกลุ่มบุคคลทุกวงการ ซึ่งเท่าที่ติดตามข่าวคราวมาส่วนใหญ่เห็นด้วยในหลักการว่าต้องมีกฎหมายฉบับนี้ แต่อัตราการเก็บหรือผู้ต้องเสียภาษีแต่ละกลุ่มจะต้องแตกต่าง ลดหลั่นกันไป เช่น บ้านอยู่อาศัย ที่ดินเพื่อเกษตรกรรม ที่ดินว่างเปล่า ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อการพาณิชย์ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้มีผลกระทบกับผู้มีรายได้น้อยไม่มากนัก เช่น คนระดับกลาง ถ้ามีบ้านอยู่อาศัยเอง ก็ควรเสียในอัตราที่เหมาะสม โดยอาจจะแยกออกเป็น ถ้าเป็นบ้านหลังแรก ขนาดเท่าใด มีที่ดินกี่ตารางวา อาจจะเสียภาษีถ้ามูลค่าเกิน 3 ล้านบาท แต่ถ้าขนาดเกินมูลค่าดังกล่าวก็ต้องเสียภาษี เป็นต้น
ด้วยเหตุนี้รัฐบาลจึงมีความจำเป็นต้องศึกษาให้ละเอียดและสามารถตอบข้อสงสัยได้อย่างมีเหตุผล เป็นที่ยอมรับของสังคมในท้ายที่สุด ซึ่งกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างจะเป็นกฎหมายที่เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติอย่างมาก