ปัญหาหนี้ครัวเรือนป่วนอสังหาฯต่อเนื่อง ผู้ประกอบการเบนเข็มจับตลาดกลาง-บนมากขึ้น นายกสมาคมอาคารชุด ชี้สินค้ากลุ่มต่ำกว่า 2 ล้านน่าห่วง เหตุส่วนใหญ่เป็นกลุ่มนักลงทุน
วอนตรึงอัตราดอกเบี้ยช่วยรักษาระดับหนี้ครัวเรือน แนะต้องเร็วถึงประสบความสำเร็จ ค่าย พฤกษา ไม่ขอเสี่ยง มุ่งขยายพอร์ตทาวน์เฮาส์ 2-3 ล้านเพิ่ม ศุภาลัยเล็งจับตาดีมานด์และซัพพลายปี 58
จากการที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ(สศช.)หรือสภาพัฒน์ รายงานภาวะสังคมไทย หนี้ครัวเรือนไตรมาส 3/2557 มีมูลหนี้รวม 10.22 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 84.2% ต่อจีดีพี และคาดว่าจะเพิ่มเป็น 85% ในไตรมาสสุดท้ายของปีเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะสัดส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้สูงถึง 85-89% ในกลุ่มเกษตรกรและคนงานผู้มีรายได้น้อย โดยสินเชื่อเพื่ออุปโภคบริโภคที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ไตรมาสสุดท้ายของปี 2557 เพิ่มขึ้น 16.5% มูลค่า 8.34 หมื่นล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.4% ขณะที่การผิดนัดชำระหนี้เกิน 3 เดือนของสินเชื่อภายใต้การกำกับเพิ่มขึ้น 30.4% มูลค่า 1.42 หมื่นล้านบาทและบัตรเครดิตมีมูลค่าเพิ่ม 25.3% มูลค่า 8.31 พันล้านบาทนั้น
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนยังคงเป็นปัญหาที่กระทบต่อภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มต่ำกว่า 3 ล้านบาท ทั้งนี้ หากแบ่งตามกลุ่มสินค้าพบว่า บ้านเดี่ยวระดับราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท, ทาวน์เฮาส์ระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมระดับราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าวมากที่สุด
ในส่วนของกลุ่มบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ที่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นมนุษย์เงินเดือนที่มีภาระผ่อนบัตรเครดิตและรถยนต์ สำหรับคอนโดฯ เป็นกลุ่มของนักลงทุน จากปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันมาจับตลาดกลาง-บนมากขึ้น เนื่องจากกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่มีปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนน้อยกว่าและมีขนาดตลาดที่ใหญ่
“เมื่อผู้ประกอบการทุกรายต่างหันมาจับตลาดกลาง-บน แทนตลาดกลางล่างมากขึ้น การแข่งขันก็สูงตามไปด้วย ผู้ที่จะประสบความสำเร็จคือ คนที่มีความรวดเร็วในการเปิดตัวโครงการ เพื่อดึงกำลังซื้อในพื้นที่มาก่อน เนื่องจากตลาดมีจำนวนจำกัด รวมทั้งพัฒนาโครงการบนที่ดินเดิม เพื่อลดต้นทุนที่ดิน ซึ่งปัจจุบันมีราคาสูงหากนำมาพัฒนาอาจไม่คุ้มกับการลงทุน”
นอกจากหนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้นแล้ว อัตราดอกเบี้ยก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ หากมีการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยก็จะยิ่งเป็นการเพิ่มภาระของผู้บริโภคในการผ่อนที่อยู่อาศัย
ขณะที่ นายปิยะ ประยงค์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ซึ่งถือเป็นเจ้าตลาดทาวน์เฮาส์ในทุกระดับราคากล่าวว่า ปัจจุบันพฤกษา ครองมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 32% ของตลาดทาวน์เฮาส์ ซึ่งมีมูลค่ารวมทั้งตลาด 5.5 หมื่นล้านบาทในปี 2557 และจากปัญหาหนี้สินภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้นและสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ทำให้บริษัทต้องปรับลดพอร์ตทาวน์เฮาส์ในระดับราคา 1-2 ล้านบาทลง
ทั้งนี้จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 30% เหลือเพียง 10% เพราะลูกค้าในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นพนักงานที่มีรายได้ไม่แน่นอน เช่น พนักงานโรงงาน ที่ครึ่งหนึ่งของรายได้หลักมาจากการทำงานล่วงเวลา แต่เมื่อสภาพเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว ทำให้โรงงานไม่มีการทำโอที พนักงานจึงขาดรายได้ในส่วนนี้ ส่งผลให้บริษัทต้องหันมาขยายพอร์ตระดับราคา 2-3 และ 3-5 ล้านบาท เพิ่มมากขึ้น เนื่องจากลูกค้าในกลุ่มนี้เป็นกลุ่มพนักงานบริษัทมีรายได้ประจำแน่นอน
“การขยายพอร์ตลูกค้าในกลุ่ม 2-3 และ 3-5 ล้านบาท พร้อมกับสร้างบ้านพร้อมอยู่ให้เพิ่มขึ้น ในสัดส่วนมากกว่า 90% ของพอร์ตสินค้าในกลุ่มทาวน์เฮาส์ทั้งหมด ทำให้บริษัทมียอดปฏิเสธสินเชื่อลดลงจากเดิม 30% เหลือเพียง 10% จากการปรับแผนงานดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีมาร์เก็ตแชร์ของกลุ่มทาวน์เฮาส์ในปี 2562 อยู่ที่ 50-60%”
ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัญหาหนี้ครัวเรือนไม่ได้ส่งผลกระทบกับบริษัทมากนัก เนื่องจากสินค้าในพอร์ตส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคาเฉลี่ย 4 ล้านบาท อีกทั้งยอดรีเจ็กต์ในปี 2557 ลดลงเหลือเพียง 6% จาก 8% ในปี 2556 แสดงให้เห็นว่ากลุ่มลูกค้าของบริษัทไม่อยู่ในกลุ่มของหนี้สินภาคครัวเรือน
“แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงและจับตามองมากกว่าปัญหาหนี้ครัวเรือน คือ ปริมาณสินค้าที่จะเข้าสู่ตลาดในปี 2558 และความต้องการของผู้บริโภค เนื่องจากในปีที่ผ่านมายังคงมีสินค้าคงเหลือในตลาดจำนวนมาก หากปีนี้ผู้ประกอบการเปิดตัวสินค้าใหม่มากกว่าความต้องการของผู้บริโภค ก็อาจทำให้สินค้าล้นตลาด เนื่องจากความเชื่อมั่นของผู้บริโภคยังไม่กลับมาเต็มที่”
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ