เพซ ดีเวลลอปเมนท์ฯ ฟุ้งยอดจองซื้อคอนโดฯซูเปอร์ลักชัวรี “นิมิตหลังสวน” ถล่มทลายกว่า70% หลังเปิดขายลูกค้าเก่า-VIP เพียง 2 วัน พร้อมทำลายสถิติราคาขายเฉลี่ยสูงกว่า 300,000 บาทต่อ ตร.ม. ชี้ “หลังสวน” สุดยอดทำเลไพรม์แอร์เรีย- เอฟเฟกต์ AEC ตัวแปรความสำเร็จ
พร้อมเดินหน้าขาย “มหาสมุทร” คอนโดฯ ย่านหัวหินกลางปี เล็งปรับเป้ายอดขายเพิ่มเหตุยอดขาย นิมิตหลังสวนเกินเป้า คาดรับรู้รายได้ปีนี้ 2,000 ล้านบาท เล็งออกหุ้นเพิ่มทุน 2 ล็อต กลางปี
นายสรพจน์ เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภายหลังการเปิดพรีเซล โครงการนิมิต หลังสวน คอนโดมิเนียมสูง 53 ชั้น แก่กลุ่มลูกค้าเก่าและลูกค้า VIP ในช่วงที่ผ่านมาปรากฏว่าได้รับอย่างล้นหลาม โดยสามารถสร้างยอดจองซื้อได้สูงถึง 70% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด 187 ยูนิต และยังสามารถสร้างสถิติทำราคาขายคอนโดมิเนียมไฮเอนด์เฉลี่ยสูงสุดมากกว่า 300,000 บาทต่อตารางเมตร (ตร.ม.) ได้เป็นครั้งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย สะท้อนให้เห็น ถึงดีมานด์ในตลาดคอนโดฯไฮเอนด์ในทำเลไพรม์แอเรียซึ่งยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง
“ในช่วง 2 วันที่ เพซฯเปิดให้ลูกค้าเก่า และ VIP จองซื้อห้องชุดนั้น บริษัทนำห้องชุดเสนอขายลูกค้าเพียง 50% ของจำนวนห้องชุดทั้งหมดเท่านั้น แต่ลูกค้าเก่าที่จองซื้อไม่ทันร้องขอให้นำห้องชุดในส่วนที่เหลือมาเปิดขาย ซึ่งบริษัทตัดสินใจปรับขึ้นราคาขายเพิ่มและนำห้องชุดออกให้ลูกค้าจองเพิ่มอีก 20% ซึ่งก็สามารถขายห้องชุดล็อตใหม่ได้หมด ทำให้ยอดจองซื้อห้องชุดในปัจจุบันอยู่ที่ 70% ของห้องชุดทั้งหมดในโครงการ อย่างไรก็ตามในส่วนของห้องชุดที่เหลืออีก 30% นั้น เพซต้องมีการปรับแผนการขายและราคาขายใหม่ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการหารือว่าจะดำเนินการต่อไปอย่างไร”
ทั้งนี้ ลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อโครงการนิมิตหลังสวนกว่า 90% เป็นลูกค้าคนไทย มีเพียง 10% เท่านั้นที่เป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติ และจากการสอบถามและเก็บข้อมูลลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อโครงการดังกล่าวพบว่าปัจจัยหลักที่ส่งผลให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อห้องชุดในโครงการ นอก จากมีทำเลที่ตั้งที่อยู่ในไพรม์แอเรียที่หายากแล้ว ปัจจัยสำคัญอีก1ปัจจัยคือ ความต้องการห้องชุดพักอาศัยระดับไฮเอนด์ในย่านกลางเมืองของกลุ่มเศรษฐีและนักธุรกิจต่างชาติ ที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นภายหลังการเปิดประชาคม เศรษฐกิจอาเซี่ยน หรือ AEC
สำหรับโครงการนิมิตหลังสวน เป็นโครง การซูเปอร์ลักชัวรี สูง 53 ชั้น จำนวน 187 ยูนิต มูลค่าขายรวม 7,500 ล้านบาท ตั้งอยู่ติดถนนหลังสวนบนพื้นที่โครงการ 3 ไร่ โดยมีแบบห้องชุดให้เลือกตั้งแต่ 2-4 ห้องนอน และห้องเพนต์เฮาส์ ขนาดพื้นที่เริ่มต้น 78-617 ตร.ม. ราคาขายเริ่มต้น 25-200 ล้านบาทต่อยูนิต ขณะนี้อยู่ระหว่างการเดินเรื่องจัดทำรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างโครงการได้ในช่วงปลายปีนี้
นายสรพจน์ กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 58 ว่า ในปีนี้บริษัทมีแผนเปิดขายโครงการใหม่ 2 โครงการคือโครงการ นิมิต หลังสวน ซึ่งเปิดพรีเซลในช่วงที่ผ่านมา และการเปิดการขายโครงการคอนโดฯ “มหาสมุทร” ในเมืองหัวหิน หลังจากที่ก่อนหน้าได้เปิดตัวโครงการและเริ่มงานก่อสร้างไปแล้วในช่วงก่อนหน้า โดยคาดว่าจะเปิดขายอย่างเป็นทาง การในช่วงกลางปี 58 นี้ โดยทั้ง 2 โครงการดังกล่าวคาดว่าจะใช้งบในการลงทุนก่อสร้างประมาณ 3,000-4,000 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัท ยังได้เตรียมงบในการซื้อที่ดินไว้รองรับการพัฒนาโครงการใหม่ 1,500-2,000 ล้านบาท
ขณะที่ในด้านยอดขายนั้นบริษัทตั้งเป้าว่าจะมียอดขายอยู่ที่ 30-40% ของยอดขายในโครงการนิมิตหลังสวน แต่หลังจากที่มีการเปิดพรีเซลและสามารถทำยอดจองซื้อสูงถึง 70% ทำให้บริษัทจะมีการปรับเป้ายอดขายในปีนี้ใหม่อีกครั้ง ส่วนยอดรับรู้รายได้ในปีนี้คาดว่าจะอยู่ที่ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากการรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการมหานครทั้งหมด ทั้งนี้ในปัจจุบันโครงการมหานคร มียอดขายแล้ว 70% จากมูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท
“ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ บริษัทจะออกหุ้นเพิ่มทุน 2 ล็อต โดยล็อตแรกจะเป็นหุ้นเพิ่มทุนแบบเจาะจงผู้ซื้อ(PP) จำนวน 583 ล้านหุ้น คิดเป็น 20% ของหุ้น IPO ของบริษัทให้แก่กลุ่ม IBC ซึ่งเป็นผู้ร่วมทุนพัฒนาโครงการมหานคร เพื่อแลกกับหุ้นทั้งหมด 32% ที่ IBC ถืออยู่ในโครงการดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลให้เพซฯ สามารถรับรู้รายได้จากยอดขายทั้งหมดในโครงการมหานครทั้ง 100% ส่วนล็อตที่ 2 จะเป็นการออกหุ้นเพิ่มทุนเพื่อขายให้แก่ผู้ถือหุ้นเก่า (RO) ให้แก่ผู้ถือหุ้นเก่าจำนวน 600 ล้านหุ้น”