ปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจทั้งใน และต่างประเทศ เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นชัดเจน ปัญหาหนี้สินครัวเรือน อยู่ในระดับสูง กระทบต่อกำลังซื้อในตลาดอสังหาริมทรัพย์
ทำให้ผู้ประกอบการพยายามปรับตัว หันมาจับตลาดแนวราบ ซึ่งเป็นตลาดที่สร้างรายได้เร็ว เพื่อกระจายความเสี่ยง อีกทั้ง การที่สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อย สินเชื่อมากขึ้น โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม โครงการแนวราบจึงตอบโจทย์ได้ดีที่สุด สะท้อนได้จากตัวเลขของ “เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส” พบว่าการเปิดโครงการใหม่ในช่วงเดือนม.ค.ปีนี้ ลดลง 10% เมื่อเทียบกับเดือนธ.ค. ของปี2557 และโครงการที่เปิดใหม่ส่วนใหญ่เป็นแนวราบ
เมธา อังวัฒนพานิช รองกรรมการ ผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดบ้านเดี่ยวปี 2558 คาดจะเติบโต 10% โดยครึ่งปีแรกจะมีที่อยู่แนวราบในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปิดใหม่ไม่น้อยกว่า 6,000 ยูนิต ส่วนใหญ่ระดับราคา 3-10 ล้านบาท เนื่องจากได้ปัจจัยหนุนทั้งการคลี่คลายปัญหาทางการเมือง การเร่งเบิกจ่าย งบประมาณโครงสร้างพื้นฐาน และการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 2% ต่อปี ทำให้ตลาด บ้านเดี่ยวเติบโต โดยพบว่าช่วงไตรมาสแรกปีนี้ มีแนวโน้มการเติบโตที่ดี สะท้อนจากยอดขายของบริษัททำได้ถึง 1,350 ล้านบาท เติบโต 30% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
“โครงการแนวสูงที่เสี่ยงกับภาวะ ล้นตลาดในหลายทำเล และจะสร้างรายได้ เมื่อโครงการเสร็จแล้วมีการโอนกรรมสิทธิ์ แต่แนวราบสามารถทยอยโอนและกลุ่มผู้ซื้อ เป็นกลุ่มที่ต้องการอยู่อาศัยจริง”
ทั้งนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายจากโครงการแนวราบในปีนี้ 1.3 หมื่นล้านบาท โดยจะใช้เทคโนโลยีพรีคาสท์ เพื่อสร้างและส่งมอบได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะส่งผลต่อการรับรู้รายได้ ที่รวดเร็วด้วย โดยไตรมาสแรกจะเปิด 3 โครงการ ขณะที่ทั้งปีจะเปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่า 1.55 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 8 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ
“กลยุทธ์การทำตลาดแนวราบปีนี้ เน้นกระจายการเปิดตัวครอบคลุมทุกระดับราคา เพื่อบริหารพอร์ตให้อยู่ในเกณฑ์ที่มีความเสี่ยงน้อยที่สุด โดยเฉพาะตลาดระดับราคา 3-5 ล้านบาท เป็นตลาดใหญ่มีสัดส่วนกว่า 60%”
:ลูกค้าแนวราบอยู่อาศัยจริง
แสนผิน สุขี กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลเด้นแลนด์ เรสซิเด้นส์ จำกัด กล่าวว่า ตลาดแนวราบนั้นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อต้องการอยู่อาศัยจริง ไม่มีกลุ่มเก็งกำไร สามารถแบ่งออกเป็นเฟสไม่จำเป็นต้องสร้างทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ความเสี่ยงจึงมีน้อยกว่าคอนโด ทั้งนี้หลังจากเข้าควบรวมกิจการกับ บริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน จำกัด (เคแลนด์) แล้ว ปีนี้มีแผน เปิดตัวทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ 13 โครงการ มูลค่ารวม 1.22 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ 2 ผู้ประกอบการรายใหญ่ ทั้ง พฤกษา เรียลเอสเตท และ แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ก็ยังคงปักหลักในตลาดแนวราบ โดยเลอศักดิ์ จุลเทศ รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้อำนวยการ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด(มหาชน) ระบุว่า ปีนี้ยังคงเน้นตลาดแนวราบ โดยมีแผนเปิดโครงการ แนวราบรวมกว่า 60 โครงการ จากทั้งหมด 70-75 โครงการ
ขณะที่ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮาส์ จำกัด (มหาชน) จะเปิดโครงการแนวราบ 14 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยว 12 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ ส่วนคอนโดมิเนียม เปิด 3 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 3.7 หมื่นล้านบาท ส่วนบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) ได้กลับมารุกตลาดแนวราบอีกครั้งในรอบหลายสิบปี ภายใต้แบรนด์ใหม่ “โนเบิล เกเบิล วัชรพล” โครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 266 ยูนิต มูลค่า 2,200 ล้านบาท
:คาดคอนโดใหม่ปีนี้ลด30%
เช่นเดียวกับ 2 ผู้ประกอบการรายกลาง อย่าง เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ และเอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง โดย เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า เสนาฯ เน้นเปิดตัวโครงการแนบราบมากขึ้น รวม 6 โครงการ จากทั้งหมด 11 โครงการ เนื่องจากสถานการณ์ปัจจุบันอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแนวราบขายง่ายกว่าแนวสูง รวมทั้งมองว่าในปีที่แล้ว มีซัพพลายห้องชุดเปิดใหม่สูงกว่า 7.5 หมื่นยูนิต ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาในการดูดซับอีก 1-2 ปีหรืออาจมากกว่านั้น ในภาวะที่ความต้องการซื้อมีจำกัดเช่นในปัจจุบัน อีกทั้งการเปิดตัวคอนโดใหม่ ต้องใช้งบโฆษณา และการตลาดสูง โดยคาดการณ์ว่าปีนี้ซัพพลายใหม่จะลดลง 20-30% จากการปรับลดพอร์ตคอนโดของผู้ประกอบการรายใหญ่
ขณะที่ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่งฯ จะเปิด 3 โครงการมูลค่า 2,000-3,000 ล้านบาท เป็นบ้านแนวราบทั้งหมด กระจายออกไปในทำเลใหม่ด้วย เพื่อกระจายความเสี่ยง ขณะที่ในปีนี้ จะไม่มีการเปิดคอนโดใหม่ โดยโครงการแนวราบเน้นบ้านเดี่ยวใน 3 ระดับราคา คือ 3-5 ล้านบาท 5-7 ล้านบาท และ 6-7 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มลูกค้าบ้านราคาดังกล่าวไม่ค่อยได้รับผลกระทบเรื่องการถูกปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคาร และได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจน้อย
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ