นับครั้งไม่ถ้วนที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ ออกมาส่งสัญญาณให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะผู้ดูแลนโยบายการเงิน ให้พิจารณา “ลดดอกเบี้ย”
เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ในภาวะที่เศรษฐกิจไทยยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
หลังการประกาศตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ไตรมาส 4/57 และแนวโน้มปี 2558 เมื่อต้นสัปดาห์ (วันที่ 16 ก.พ.) ซึ่งพบว่า จีดีพีไทย ไตรมาส 4/57 ขยายตัว 2.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน การใช้จ่ายภาคเอกชน และมูลค่าการส่งออกที่ขยายตัว 5.5%, 4.1%, 1.9% และ1.5% ตามลำดับ แต่การลงทุนภาครัฐยังหดตัว 0.3%
อย่างไรก็ตาม แม้ไตรมาสสุดท้ายจะเติบโตดีสุดในรอบปี แต่แรงส่งนั้นก็ยัง ไม่สามารถพยุงให้ทั้งปีเติบโตเกิน 1% ได้
โดยพบว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจไทยปี 2557 อยู่ที่ 0.7% โดยเครื่องยนต์เศรษฐกิจติดลบหลายตัว ตั้งแต่การลงทุนรวม มูลค่าการส่งออกสินค้า มูลค่าการนำเข้าสินค้า ที่หดตัว 2.8%, 0.3%, 8.5% ตามลำดับ มีเพียงการบริโภคโดยรวมเท่านั้นที่ขยายตัว 0.7%
สภาพัฒน์ ได้คาดการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ อีกด้วยว่า จีดีพีจะเติบโต 3.5-4.0% โดยการลงทุนภาครัฐจะ ขยายตัวสูงถึง 9.8% ตามมาด้วยการใช้จ่ายภาครัฐ 5.6% การลงทุนภาคเอกชนโต 5.0% การส่งออกสินค้าขยายตัว 3.5% การบริโภคภาคเอกชนโต 2.9% และการนำเข้าขยายตัว 1.8%
การแถลงข่าวของสภาพัฒน์ใน ครั้งนี้ ยังได้มีการรวบรวมข้อมูลการดำเนินนโยบายของประเทศต่างๆ มานำเสนอด้วย พร้อมกับเสียงจาก “อาคม เติมพิทยาไพสิฐ” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคมและเลขาธิการ สศช. ที่กระทุ้งให้ ธปท.ลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจอีกครั้ง แถมรอบนี้เจียระไนเหตุผลเป็นข้อ ๆ ดังนี้
เหตุผลข้อที่ 1 คือดอกเบี้ยที่แท้จริง (ดอกเบี้ยนโยบาย – เงินเฟ้อ) ในปัจจุบันเป็นบวกต่อเนื่อง หลังจากเงินเฟ้อทั่วไปติดลบ 0.41% ในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา จากราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัว ลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การที่ดอกเบี้ยแท้จริงเป็นบวกต่อเนื่องกลับส่งผลให้ต้นทุนทางการเงินของผู้ประกอบการอยู่ในระดับสูง แล้วส่งผ่านไปสู่ต้นทุนการใช้จ่ายของประชาชนเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
“สิ่งเหล่านี้หากเป็นต่างประเทศเขาจะไม่รอให้เงินเฟ้อลดลงไปถึง 0% หรือติดลบ แล้วค่อยปรับดอกเบี้ยลง แค่เงินเฟ้อใกล้ 0% เขาก็จะมีมาตรการการเงินเข้ามาช่วยแล้ว เช่น กรณีสิงคโปร์ และจีน”
เหตุผลข้อที่ 2 คือค่าเงินบาทเทียบกับสกุลเงินของหลายประเทศแข็งค่าขึ้น ต่อเนื่อง จากที่หลายประเทศทำสงครามคิวอี (มาตรการผ่อนคลายเชิงปริมาณ) กระตุ้นเศรษฐกิจและทำให้ค่าเงินสกุลตัวเองอ่อนค่า ส่งผลให้เงินบาทแข็งค่าและทำให้ไทยเสียโอกาสด้านการแข่งขันทางการค้า
“สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาตอนนี้คือ เศรษฐกิจไทยปีที่ผ่านมาโตเพียง 0.7% และคาดการณ์ปีนี้ก็โตเพียง 3.5-4.5% ซึ่งเรียกว่าค่อย ๆ ฟื้น แต่ก็ re-act (ตอบรับ) กันว่าเศรษฐกิจฟื้นตัวรวดเร็ว จนมองว่าดอกเบี้ยนโยบายในปัจจุบันเป็นระดับ ที่เหมาะสมแล้ว ทั้งที่ดอกเบี้ยปัจจุบัน ไม่ได้ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจเท่าไร”
เหตุผลข้อที่ 3 การลดดอกเบี้ยจะช่วยให้ธุรกิจเอสเอ็มอีมีต้นทุนการเงินที่ถูก และทำให้ธุรกิจสามารถดำเนินกิจการต่อไปได้
สุดท้ายขณะนี้มีข้อจำกัดในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยจากราคาสินค้าเกษตรที่ลดลง และมีแนวโน้มทรงตัวในระดับต่ำต่อเนื่อง ทำให้ภาคครัวเรือนไทย (คนไทย) จำนวนมากประสบภาวะเงินฝืด แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะฟื้นตัว แต่เป็นการฟื้นในบางภาคส่วน เช่น ภาคอสังหาริมทรัพย์ ท่องเที่ยว เท่านั้น
“ราคาสินค้าเกษตรที่ลดลงทำให้คนในต่างจังหวัดในภาคชนบทที่ยึดอาชีพเกษตรกรกลับประสบกับเงินฝืด และเรื่องนี้เป็นสิ่งที่คนทำนโยบายการเงินต้องพิจารณาว่าจะดำเนินนโยบายการเงินอย่างไร เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ”
ถือเป็นการบ้านที่การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 11 มี.ค. 2558 จะต้องตัดสินใจหากจะให้จีดีพีปีนี้ขยายตัวที่ 3.5-4.5%
ขณะที่ “ดร.เชาว์ เก่งชน” กรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าวว่า ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/57 ที่ขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.3% เห็นชัดว่าแรงส่งยังอ่อนแอ ทั้งภาคการบริโภค การลงทุน แต่ของปี 2558 ก็ต้องรอตัวเลขเศรษฐกิจเดือน ม.ค.อีกครั้งด้วย อย่างไรก็ตาม หาก ธปท.เลือกจะผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น การลดดอกเบี้ยก็จะช่วยลดแรงกดดันต่อภาคต่าง ๆ เช่น ภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคครัวเรือน แม้อีกด้านของการลดดอกเบี้ยอาจจะสร้างความกังวลให้มีการก่อหนี้เพิ่มขึ้น หรือทำให้เกิดการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ได้
“การลดดอกเบี้ยไม่ใช่ยาวิเศษที่จะแก้ไขได้ทุกปัญหา หรือจะเข้าชดเชยการส่งออกที่ลดลงได้ หรือการลดลงที่ขาดไปได้ แต่หากจะลดดอกเบี้ยนโยบายก็น่าจะมีการออกมาตรการเพิ่มเติม เพื่อดูแลผลกระทบระยะยาว เช่น การเน้นย้ำให้สถาบันการเงินระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อ เป็นต้น” ดร.เชาว์กล่าว
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ