นโยบายนี้เห็นครั้งแรกก็เตะตาแล้ว “EV on Train”
เครดิตผลงาน “บิ๊กโอ๋-ศักดิ์สยาม ชิดชอบ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย และ ส.ส.บุรีรัมย์
เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่ เพิ่งมีการประชุมไป 3 ครั้งเกี่ยวกับ “การใช้เทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าสำหรับการขนส่งสาธารณะ กรณีขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า EV on Train” หน่วยงานหลักหนีไม่พ้นกรมการขนส่งทางราง (ขร.) กรมการขนส่งทางบก (ขบ.) สำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) และการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.)
ปัจจุบันการนำรถไฟขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้า EV on Train ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ที่ติดตั้งในตัวรถไฟ มีการปรับปรุงแผนให้เร็วขึ้นจากแผนเดิมที่กำหนดไว้ปี 2568 เปลี่ยนเป็นปี 2566 หรือเร็วขึ้น 2 ปี
โดยในปี 2564 จะดำเนินการศึกษาและออกแบบรถไฟ EV ที่เหมาะสมกับประเทศไทย จากนั้นในปี 2565 เป็นขั้นตอนการเตรียมการและดำเนินการดัดแปลงรถไฟ EV จากรถจักรเก่า ปี 2566 ดำเนินการทดสอบรถไฟ EV ในศูนย์ทดสอบและทดลองวิ่งในเส้นทาง
นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมมีแผนการดำเนินงานรถไฟ EV on Train ครอบคลุมตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปี 2576 โดยมีโครงการระยะสั้นมอบหมายให้ “กรมราง-ขร.” ร่วมกับการรถไฟฯ สถาบันวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีระบบราง (องค์การมหาชน) และสถาบันการศึกษา เพื่อร่วมมือกันปรับปรุงรถจักรเก่า GEK หรือ Alsthom เป็นระบบ battery locomotive จำนวน 4 คันให้แล้วเสร็จในปี 2566
รวมทั้งโครงการจัดหารถจักรสับเปลี่ยน (battery shunting locomotive) จำนวน 20 คัน ที่จะนำมาใช้งานภายในปี 2567
ข้อสั่งการล่าสุด “รมต.ศักดิ์สยาม” กำชับหน่วยงานเพิ่มเติม 3 ข้อ ดังนี้
1.ให้กรมรางกับการรถไฟฯจัดทำแผนดำเนินการและขั้นตอนในการนำรถไฟ EV on Train มาใช้ในประเทศไทยให้มีความชัดเจนและเป็นรูปธรรม รวมทั้งจัดหาทุนในการดำเนินการ
2.ให้การรถไฟฯร่วมกับสถาบันการศึกษาทำการศึกษาวิจัยการนำรถไฟ EV on Train มาใช้สำหรับลากจูงขบวนรถไฟที่จะเข้ามาใช้สถานีกลางบางซื่อในระยะเร่งด่วน
และ 3.ให้หน่วยงานผู้ให้บริการระบบรางที่ใช้พลังงานไฟฟ้าศึกษาความต้องการและการบริหารจัดการการใช้พลังงานไฟฟ้า เพื่อให้มีความคุ้มค่าและมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยอาจพิจารณาการจัดสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อจ่ายพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ในการเดินรถ และส่วนที่เหลือสามารถนำมาจ่ายคืนไปยังระบบไฟฟ้า
เริ่มต้นด้วย EV on Train กำลังปูทางไปสู่แผนลงทุนสร้างโรงไฟฟ้าเป็นการ think big, act bigger สไตล์บิ๊กโอ๋ ณ บุรีรัมย์
ที่มา: หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ