ปัจจัยเสี่ยงจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในและนอกประเทศยังเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ระมัดระวัง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวในช่วงที่ผ่านมาได้ส่งผลกระทบให้กำลังซื้อในตลาดที่อยู่อาศัยหดตัวลง
ผู้ประกอบธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้พยายามปรับตัว เพื่อลดความเสี่ยง หันไปจับตลาดที่เป็นเรียลดีมานด์ สามารถสร้างรายได้ได้เร็ว ขณะที่ความเสี่ยงในตลาดคอนโดมิเนียมยังมีอยู่สูง ที่อยู่อาศัยแนวราบจึงตอบโจทย์ได้ดีที่สุด จะเห็นได้จากการที่ผู้ประกอบการปรับพอร์ตเพิ่มน้ำหนักการลงทุนที่อยู่อาศัยแนวราบกันทุกราย
เมธา อังวัฒนพานิช รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ คาดการณ์ว่าตลาดบ้านเดี่ยวปี 2558 จะเติบโตจากปีก่อน 10% คาดในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้จะมีอุปทานที่อยู่อาศัยแนวราบในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เปิดขายใหม่ไม่น้อยกว่า 6,000 ยูนิต ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 3-10 ล้านบาท เนื่องจากได้รับปัจจัยหนุนที่เอื้อต่อการขยายตัว ไม่ว่าจะเป็นการคลี่คลายปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศ และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายระดับ 2% ต่อปี ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงทำให้ตลาดบ้านเดี่ยวโดยรวมเติบโตทั้งด้านอุปทานและอุปสงค์
“โครงการแนวราบนั้นสร้างการรับรู้รายได้ได้ไวกว่าโครงการแนวสูงที่ในช่วงเวลานี้เสี่ยงกับการเกิดภาวะล้นตลาดในหลายทำเลและกว่าจะสร้างรายได้นั้นต้องรับรู้เมื่อโครงการก่อสร้างเสร็จแล้วมีการโอน แต่โครงการแนวราบนั้นสามารถทยอยโอนได้ และกลุ่มผู้ซื้อเป็นลูกค้าที่ต้องการอยู่อาศัยจริง ขณะที่ราคาน้ำมันเอื้อให้ตลาดแนวราบฟื้นตัวเพราะผู้ซื้อบ้านเริ่มรู้สึกว่าต้นทุนการเดินทางนั้นลดลง” เมธา กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้และยอดขายจากโครงการแนวราบในปีนี้ จำนวน 1.3 หมื่นล้านบาท โดยจะเน้นพัฒนาโครงการในรูปแบบบ้านพร้อมอยู่ด้วยการใช้เทคโนโลยีพรีคาสท์ เพื่อสร้างบ้านและส่งมอบที่อยู่อาศัยได้อย่างรวดเร็วจะส่งผลต่อการรับรู้รายได้ที่รวดเร็วด้วย โดยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทจะเปิด 3 โครงการ ที่อยู่อาศัยใหม่ ขณะที่แผนทั้งปีจะเปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1.55 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 8 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 1 โครงการ
สำหรับเป้ารายได้รวมของบริษัทตั้งไว้ 3.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 2.1 หมื่นล้านบาท แนวราบ 1.3 หมื่นล้านบาท และวางเป้ายอดขายที่ 3 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นแนวสูง 1.7 หมื่นล้านบาท แนวราบ 1.3 หมื่นล้านบาท ในปีนี้จะเปิดโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่า 3.6 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 1.48 หมื่นล้านบาท ทาวนเฮาส์ 1 โครงการ มูลค่า 617 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 2.88 หมื่นล้านบาท โดยในช่วงเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา บริษัทมียอดพรีเซลส์แล้ว 800 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้ 600 ล้านบาท
ขณะที่ ธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวว่า ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบนั้นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อต้องการเพื่ออยู่อาศัยจริง ไม่มีกลุ่มลูกค้าเพื่อซื้อเก็งกำไร ส่วนรูปแบบการพัฒนาโครงการนั้นสามารถแบ่งการพัฒนาออกเป็นเฟสไม่จำเป็นต้องสร้างทั้งหมดในเวลาเดียวกัน ความเสี่ยงในการเปิดขายโครงการจึงมีน้อยกว่าคอนโดมิเนียม ทั้งนี้หลังจากบริษัทเข้าควบรวมกิจการกับ บริษัท กรุงเทพบ้านและที่ดิน (เคแลนด์) ปีนี้จะเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮาส์ 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.22 หมื่นล้านบาท
ด้าน ชนะ เลิศลุมพลีพันธุ์ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป กล่าวว่า บริษัทพยายามบุกตลาดโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ในบริเวณกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตกหรือศาลายา เนื่องจากประเมินว่าจะกลายเป็นทำเลทองแห่งใหม่อีกทั้งกำลังซื้อของคนในย่านนี้เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้รูปแบบการพัฒนาโครงการจึงต้องจับตลาดระดับบน
“บริษัทได้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบมานาน 17 ปี ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ 8 โครงการ จำนวน 1,000 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท เป็นบ้านพร้อมอยู่ โดยปี 2557 มีรายได้ 250 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้า 25% และตั้งเป้าว่าปี 2558 จะมีรายได้ 350 ล้านบาท เติบโตขึ้น 40%” ชนะ กล่าว
ขณะที่ ไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมแผนเปิดโครงการใหม่ในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดปีนี้ รวม 8-10 โครงการ แบ่งเป็น แนวราบ 8-9 โครงการ และคอนโดมิเนียม 1-2 โครงการ จะช่วยผลักดันยอดขายปีนี้ 3,120 ล้านบาท เติบโตกว่า 11% และยอดรับรู้รายได้ 2,650 ล้านบาท
ทั้งนี้ มองว่าทิศทางเศรษฐกิจปีนี้มีโอกาสขยายตัวกว่า 3.5-4.5% ปัจจัยบวกมาจากราคาน้ำมันปรับลดลงแรง และโครงการลงทุนภาครัฐด้านสาธารณูปโภคและระบบขนส่ง หากรัฐบาลเร่งเดินหน้าโครงการให้ก่อสร้างเสร็จได้เร็วย่อมช่วยกระตุ้นให้เอกชนกล้าลงทุน ส่วนภาพรวมอสังหาฯ ปีนี้มีโอกาสเติบโต 3-5% เนื่องจากยังมีความเสี่ยงเรื่องปัญหาการเมืองและราคาที่ดินปรับสูงขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่ 2 รายใหญ่ในตลาดที่อยู่อาศัย ทั้งบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท และ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮาส์ ก็ยังคงปักหลักในตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบ โดย บริษัท พฤกษา มีแผนจะเปิดโครงการแนวราบรวมกว่า 60 โครงการ จากแผนเปิดโครงการทั้งหมด 70-75 โครงการ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 21-22 โครงการ และทาวน์เฮาส์ 39-41 โครงการ ขณะที่ แลนด์ แอนด์ เฮาส์ จะเปิดโครงการแนวราบ 14 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยว 12 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 2 โครงการ ส่วนคอนโดมิเนียมเปิด 3 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 3.7 หมื่นล้านบาท
เหล่านี้คือความเคลื่อนไหวของผู้ประกอบการที่โฟกัสไปที่ตลาดบ้านแนวราบ ซึ่งจะทำให้การแข่งขันในหลายพื้นที่ที่เป็นทำเลสำหรับโครงการแนวราบร้อนระอุขึ้นแน่นอน