นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 58 ยังเติบโตได้อย่างน้อย 5% เพราะได้รับอานิสงส์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ การเร่งเบิกจ่ายเงินงบประมาณอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงนโยบายการกำหนดเขตเศรษฐกิจพิเศษต่าง ๆ รวมถึงการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ช่วงปลายปีนี้ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจไทยเริ่มแข็งแกร่งมากขึ้นที่จีดีพีอาจขยายตัวได้ที่ 3.5-4% จากการบริโภค การท่องเที่ยว การส่งออก ที่น่าฟื้นตัวได้ตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ราคาน้ำมันลดลง และการเมืองยังนิ่ง แต่ยอมรับว่า ยังมีปัจจัยเสี่ยงจากภายนอกประเทศ ที่มีความไม่แน่นอนสูง ซึ่งต้องติดตามภาวะเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด
“ทั้งนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง คิดเป็น 6% ของจีดีพี ซึ่งปี 57 ที่ผ่านมา เพิ่มเป็น 6.8% โดยภาคอสังหาฯนั้น ส่งผลบวกไปยังธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวเนื่องด้วย ทำให้คิดเป็นจีดีพีโดยภาพรวมแล้วมีถึง 25% ดังนั้นรัฐบาลต้องให้ความสำคัญต่อธุรกิจนี้พอสมควร”
ส่วนแนวโน้มสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ มองว่าน่าจะเติบโตได้ 8.5-9.5% โดยสถาบันการเงินตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยอยู่ในช่วง 6-13% แต่ทั้งนี้ ต้องติดตามภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ระดับสูงถึง 80% รวมทั้งต้องติดตามธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่อาจปรับขึ้นดอกเบี้ยช่วงกลางปีนี้ ว่าส่งผลต่อเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างไร แต่เชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังดูแลได้
นายประเสริฐ แต่ดุลยาสาธิต นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ ปีนี้อาจโตเพียง 2-5% โดยตลาดบ้านเดี่ยวนั้นอาจไม่โตเลยหรือ 0% ส่วนทาวน์เฮาส์โตเล็กน้อยเนื่องจากกลุ่มผู้มีรายได้เปลี่ยนพฤติกรรมจากที่นิยมซื้อบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่ชานเมืองมาเป็นการซื้อคอนโดมิเนียมหรู หรือเซฟเฮาส์ในเมืองติดแนวรถไฟฟ้า ขณะที่ตลาดคอนโดฯน่าจะโตได้ถึง 4% โดยมีมูลค่าตลาดรวม 300,000 ล้านบาท แต่ตลาดต่างจังหวัดยังติดลบต่อเนื่อง 10-20% จากราคาคอนโดฯที่สร้างเสร็จไม่เพิ่มขึ้น ทำให้ผู้ที่เก็งกำไรทิ้งเงินดาวน์หรือไม่มาโอน ซึ่งขณะนี้พบว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ไปลงทุนต่างจังหวัดได้คืนเงินดาวน์ พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ให้ลูกค้าแล้ว
นางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท.ไม่จำเป็นต้องออกมาตรการมาดูแลธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และสถาบันการเงินให้เข้มงวดไปกว่าปัจจุบัน เพราะผู้ประกอบการและธนาคารต่างปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์อยู่แล้ว เมื่อมีความเสี่ยง ธนาคารก็เข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ส่วนผู้ประกอบการลดการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ เป็นต้น