หนี้ครัวเรือนยังเป็นแรงกดดันการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย จับตายอดปฏิเสธให้กู้ยังสูง มองแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ ยังมีความเสี่ยง แม้เติบโตดีกว่าปีก่อน ได้แรงหนุนจากการลงทุนภาครัฐกระตุ้นตลาดโต 5%
นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “นโยบายภาครัฐกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปี 2558” ว่า ในปีนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์น่าจะเติบโตประมาณ 5% แม้ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามในเรื่องหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง โดยการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐที่มีการใช้เม็ดเงินขนาดใหญ่น่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้ภาคเอกชนลงทุนมากขึ้น รวมทั้งสถาบันการเงินก็น่าจะแข่งขันกันให้สินเชื่อบ้าน เนื่องจากมีความเสี่ยงต่ำ
“หนี้ครัวเรือนที่มีสัดส่วน 80% ของจีดีพีนั้น ได้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องวิเคราะห์ลงไปในรายละเอียดว่าเป็นหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัยมากน้อยเพียงใด หากเป็นหนี้ที่อยู่อาศัยก็ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก” นายวิสุทธิ์กล่าว
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชนได้ร่วมกันวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจ ตลาดทุน ตลาดเงิน และสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ในปี 2558 เริ่มจากนางทองอุไร ลิ้มปิติ รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มองว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกปีนี้ยังมีความเปราะบาง จึงถือเป็นปีท้าทายในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ส่วนเศรษฐกิจไทยปีนี้น่าจะขยายตัวถึง 4% โดยมีการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายภาครัฐเป็นพระเอกในการผลักดันให้เกิดการใช้จ่ายและการลงทุนในประเทศ
“ในปีนี้ธปท.ยังกังวลเรื่องหนี้ครัวเรือนและต้นทุนที่ดินที่สูงต่อเนื่องที่จะมีผลกระทบต่อภาคอสังหาฯ โดยเฉพาะโครงการขนาดเล็กควรเลือกทำเลที่ดีและมีกลุ่มลูกค้าชัดเจน ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่น่าจะเอาตัวรอดได้ ส่วนการให้สินเชื่อของสถาบันการเงินมองว่า ขณะนี้หนี้เสียโดยรวมอยู่ที่ 2.6% ถือว่าต่ำมาก ธปท.จึงไม่มีความจำเป็นต้องออกมาตรการอะไรเป็นพิเศษเพื่อดูแลการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน” นางทองอุไร กล่าว
ขณะที่นายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ ปีนี้คงฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ไตรมาสสี่ปีที่แล้วยอดขายไม่คึกคัก ส่วนปีนี้แบงก์ยังให้สินเชื่อบ้านต่อเนื่อง แต่ละแบงก์ตั้งเป้าโตใกล้เคียง 10% เนื่องจากสินเชื่อบ้านมีความเสี่ยงต่ำจริง แม้จะไม่ได้กำไรสูงก็ตามแต่แบงก์ก็ยังแข่งขันกันปล่อยอยู่ดี อย่างไรก็ตาม แต่ละแบงก์ยังมีความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้ารายย่อยต่อไป และอาจมีการปฏิเสธการให้สินเชื่อถึง 30-40% จากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงและภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่ดอกเบี้ยที่ต่ำน่าจะมีผลต่อกำลังซื้อ