สำนักวิจัยเศรษฐกิจ ส่วนใหญ่คาด กนง. ตัดสินใจ”คง”ดอกเบี้ยนโยบายที่ 2% วันพุธนี้ ระบุรอความชัดเจนจาก สศช.ประกาศตัวเลขเศรษฐกิจไตรมาส 4 ปี 2557 ช่วง 16 ก.พ.นี้ คาด กนง.ไม่ลดดอกเบี้ย เพื่อ ดึงค่าเงินบาทอ่อน หวั่นได้ไม่คุ้มเสีย
การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งแรกของปี2558 ในวันที่ 28 ม.ค.นี้นั้น นายอมรเทพ จาวะลา ผู้อำนวยการ สำนักวิจัยสายบริหาร ความเสี่ยง ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย เชื่อว่า กนง. น่าจะตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ ที่ 2% เพื่อรอดูความชัดเจนทางเศรษฐกิจก่อน โดยเฉพาะความเสี่ยงจากเศรษฐกิจโลกซึ่งเวลานี้มีค่อนข้างสูง “เชื่อว่าแบงก์ชาติกำลังติดตามดูความเคลื่อนไหวในตลาดเงิน ตลาดทุน โดยเฉพาะ จากฝั่งยุโรปก่อน เพื่อดูว่าจะทำคิวอี (มาตรการ ผ่อนคลายทางการเงินเชิงปริมาณ) หรือไม่ รวมทั้งรอดูการเลือกตั้งของกรีซว่าจะมีผลต่อเสถียรภาพของค่าเงินยูโรหรือไม่ ซึ่งตอนนี้ความผันผวนของค่าเงินยูโรมีค่อนข้างมาก จึงเชื่อว่าแบงก์ชาติน่าจะรอดูสถานการณ์ ต่างๆ ก่อน” นายอมรเทพ กล่าว
นอกจากนี้ ในวันที่ 16 ก.พ. ทางสำนักงาน คณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ที่จะแถลงตัวเลขเศรษฐกิจไทย ในรอบปีที่ผ่านมา เชื่อว่าหากนโยบายการเงิน จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ การประชุม กนง. รอบถัดไป วันที่ 11 มี.ค.นี้ ก็ไม่น่าจะสายเกินไป
“ราคาน้ำมันที่ลด ทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อ ลดลงไปด้วย หลายคนมองว่า โอกาสที่ดอกเบี้ย นโยบายจะปรับลดลงมีความเป็นไปได้ แต่ผมมองว่า ความเสี่ยงเศรษฐกิจโลกในขณะนี้ยังมี หนี้ครัวเรือนก็ยังสูง ยังมีหลายประเด็นทางเศรษฐกิจที่ต้องติดตาม ถ้านโยบายการเงินจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงใดๆ การประชุมครั้งหน้า (11 มี.ค.) ก็ยังไม่น่าจะสายเกินไป” นายอมรเทพกล่าวเศรษฐกิจไทยส่งสัญญาณฟื้น
นางสาวอุสรา วิไลพิชญ์ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ ไทย กล่าวว่า กนง. น่าจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% เพราะที่ผ่านมา ธปท. มองว่าดอกเบี้ยดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำหนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ดังนั้นความจำเป็นต้องลดดอกเบี้ยจึงมีค่อนข้างน้อย
“เศรษฐกิจในขณะนี้เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ตอนนี้จึงเป็นลักษณะรอ และเก็บกระสุนเอาไว้ใช้ยามจำเป็น ซึ่งดอกเบี้ยที่ต่ำก็สอดรับกับเศรษฐกิจที่กำลังโต ความจำเป็นที่ต้องลดดอกเบี้ยเพิ่มจึงไม่น่าจะมี” นางสาวอุสรา กล่าว
นอกจากนี้ ถ้าดูดอกเบี้ยนโยบายของไทยถือว่าต่ำสุดในภูมิภาค ปัจจุบันอยู่ที่ 2% ขณะที่มาเลเซียอยู่ที่ 3.25% ฟิลิปปินส์ อยู่ที่ 4% และ อินโดนีเซีย อยู่ที่ 7.75%
นางสาวอุสรา กล่าวว่า หากเศรษฐกิจไทยสามารถฟื้นตัวได้เร็ว ดอกเบี้ยนโยบายที่ 2% อาจเป็นระดับที่ต่ำไปด้วย จึงมีความเป็นไปได้ที่จะเห็นดอกเบี้ยนโยบายของไทยเริ่มขยับขึ้นหลังกลางปีนี้เป็นต้นไป โดยเร็วสุดน่าจะเป็นช่วงเดือนมิ.ย.2558 คาดว่าจะปรับขึ้นประมาณ 2 ครั้งใน ปีนี้เป็น 2.5% ภายในสิ้นปีไร้เหตุลดดอกเบี้ยดึงค่าเงินอ่อน
นายกำพล อดิเรกสมบัติ หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ กล่าวว่า ฝ่ายวิจัยฯ ยังคงมุมมองเดิมว่า กนง. น่าจะตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% เนื่องจากเป็นระดับที่สอดคล้องกับ พื้นฐานเศรษฐกิจไทย
“ตอนนี้อาจจะมีมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์เริ่มมองว่า หลายประเทศกำลังเปิดสงครามค่าเงิน แต่ผมคิดว่า เรายังไม่จำเป็นต้องไปลดดอกเบี้ยเพื่อทำให้ค่าเงินบาทอ่อน เพราะลดดอกเบี้ยลงก็คงไม่ได้ช่วยทำให้เงินบาทอ่อนลงมากนัก และอาจจะได้ไม่คุ้มเสียด้วย อีกทั้งเศรษฐกิจไทยก็เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น” นายกำพล กล่าว
นายกำพล กล่าวว่า ในส่วนของอินเดียที่เพิ่งลดดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% โดยลดจาก 8% มาอยู่ที่ 7.75% เนื่องจากเงินเฟ้อเริ่มอ่อนลงนั้น กรณีนี้ต้องบอกว่าต่างกับไทย เพราะดอกเบี้ยของอินเดียค่อนข้างสูง ขณะที่ดอกเบี้ยไทยต่ำเพียง 2% จึงควรเก็บกระสุนเอาไว้ใจยามจำเป็นจริงๆ ลดดอกเบี้ยไม่ช่วยส่งออก
นอกจากนี้ ปัญหาของเศรษฐกิจส่วนใหญ่ มาจากภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวได้ค่อนข้างช้า ซึ่งโดยส่วนตัวก็มองว่า การลดดอกเบี้ยก็คงไม่ได้ช่วย ผลักดันการส่งออกได้มากนัก จึงเชื่อว่าการประชุมรอบนี้ กนง. น่าจะตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้เช่นเดิม
นายเชาว์ เก่งชน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เชื่อว่าการประชุมรอบนี้ กนง. น่าจะยังไม่เปลี่ยนท่าทีหรือความเห็นที่มีต่อดอกเบี้ยนโยบาย โดยการประชุมครั้งก่อนหน้า กนง. ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ต้องการรอดูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศก่อน ซึ่งตัวเลขเศรษฐกิจในขณะนี้ยังไม่มีความแตกต่างจากการประชุมครั้งก่อนหน้ามากนัก จึงเชื่อว่า กนง. จะยังตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อน
“คิดว่า กนง. คงรอดูความชัดเจนเศรษฐกิจ ถ้ายังไม่มีสัญญาณที่ดีขึ้น รอบหน้าก็อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ยได้ ในกรณีที่มีการลดดอกเบี้ย เชื่อว่าจะลดเพราะเศรษฐกิจในประเทศอ่อนแอ มากกว่าจะลดเพราะหวังผลให้ค่าเงินบาทอ่อน แต่ถ้าหวังจะให้ ธปท. ลดดอกเบี้ยเพื่อดึงค่าเงินให้อ่อนลง ก็คงต้องระมัดระวังให้ดี เพราะอาจจะได้ไม่คุ้มเสียก็ได้” นายเชาว์กล่าวห่วงหนี้ครัวเรือน-ฟองสบู่อสังหาฯ
นายพิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ภัทร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การประชุมรอบนี้ถือเป็นอีกครั้งที่มีความยาก เพราะ กนง. คงต้องชั่ง น้ำหนักให้ดีระหว่าง การเติบโตทางเศรษฐกิจ กับต้นทุนที่ตามมาหากมีการลดดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากปัจจุบัน หนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับ ค่อนข้างสูง ทั้งยังมีความเสี่ยงเรื่องฟองสบู่ในภาคอสังหาริมทรัพย์
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า กนง. คงจะมองทิศทางเศรษฐกิจในระยะข้างหน้าเป็นสำคัญ ถ้า กนง. มีข้อมูลที่เห็นว่าเศรษฐกิจมีสัญญาณการฟื้นตัว ที่ดีขึ้น ก็เชื่อว่า กนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบายเอาไว้ก่อน แต่ถ้า กนง. เห็นว่า เศรษฐกิจยังอยู่ฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่นัก ก็อาจตัดสินใจลดดอกเบี้ยก็เป็นได้ แต่โดยภาพรวมยังเชื่อว่า การประชุมครั้งนี้ กนง. น่าจะตัดสินใจคงดอกเบี้ยไว้ก่อนแล้ว รอดูตัวเลขเศรษฐกิจไทยไตรมาส 4 ที่จะประกาศในเดือนหน้าอีกครั้ง
“กนง. คงต้องชั่งน้ำหนักระหว่างเศรษฐกิจ กับต้นทุนของการลดดอกเบี้ยเป็นสำคัญ คือ เศรษฐกิจที่ยังคงชะลอตัวอยู่ แล้วยังติดปัญหาหลายๆ ด้าน เช่น การบริโภคที่ยังมีหนี้ครัวเรือนสูง รัฐบาลยังไม่สามารถเบิกจ่ายได้เต็มที่ ขณะที่การลดดอกเบี้ยก็อาจจะไม่ได้ประโยชน์อย่าง เต็มที่ เพราะยังมีต้นทุนจากหนี้ครัวเรือนที่สูง และยังมีประเด็นเรื่องของค่าเงินด้วย พวกนี้ กนง. ต้องชั่งน้ำหนักพอสมควร แต่โดยภาพรวมเรายังเชื่อว่า กนง. น่าจะตัดสินใจคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ก่อน” นายพิพัฒน์ กล่าว
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ