เสนอใช้มาตรการหนุน คนไทยลงทุนต่างประเทศ ลดผลกระทบบาทแข็ง
นักเศรษฐศาสตร์ เตือนรับมือ “สงครามค่าเงิน”หลัง”อีซีบี” อัดฉีดคิวอี ขณะที่หลายประเทศเริ่มทยอยลดดอกเบี้ย เพื่อหลบเลี่ยงผลกระทบ
ห่วงส่งออกไทยสูญเสียความสามารถแข่งขัน พร้อมยืนยันไม่เห็นด้วย ลดดอกเบี้ยเพื่อดึงบาทอ่อน เกรงสถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง แนะสนับสนุนคนไทยออกไปลงทุนต่างประเทศแทน
ภายหลังศาลยุติธรรมยุโรปมีคำวินิจฉัยว่า มาตรการทางการเงินของธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) โดยการเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศสมาชิก ผ่านมาตรการทางการเงินเชิงปริมาณ(คิวอี) ไม่ขัดต่อกฎหมายการ ก่อตั้งอีซีบี ที่มีข้อห้ามเรื่องการใช้มาตรการทางการเงินเข้าช่วยเหลืองบประมาณของประเทศสมาชิก
ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อีซีบี ก็ประกาศแผนเข้าซื้อพันธบัตรของประเทศสมาชิก ในทันที จำนวน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน หรือราว 7 หมื่นล้านดอลลาร์ เริ่มตั้งแต่เดือนมี.ค.นี้ ไปจนถึงเดือนก.ย.2559 รวมเวลาดำเนินการ 19 เดือน คิดเป็นมูลค่าเงินที่ใช้ในโครงการนี้สูงถึง 1.1 ล้านล้านยูโร หรือราว 1.44 ล้านดอลลาร์
หลายคนมองว่า มาตรการดังกล่าวของ “อีซีบี” ไม่ต่างจากการประกาศร่วม “สงครามค่าเงิน” อย่างเป็นทางการ เพราะทันทีที่ อีซีบี แถลงมาตรการนี้ออกมา ค่าเงินยูโร อ่อนค่าลงทันทีเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ราว 4% ภายใน 24 ชั่วโมง
ก่อนหน้านั้น ไม่กี่เดือน (ราวต้นเดือน พ.ย.2557) ธนาคารกลางญี่ปุ่น(บีโอเจ) สร้างเซอร์ไพรส์ให้กับตลาดเงิน ด้วยการอัดฉีดมาตรการคิวอีระลอกใหม่ ผ่านการเพิ่มฐานเงินหรือเงินสดและเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับบีโอเจในอัตรา 80 ล้านล้านเยน หรือราว 7.26 แสนล้านดอลลาร์ โดยเพิ่มขึ้นจากเดิม ที่ระดับ 60-70 ล้านล้านเยน
มาตรการของ บีโอเจ ในครั้งนั้น ยังผลให้เงินเยนอ่อนค่าทำสถิติสูงสุดในรอบ 7 ปีเมื่อเทียบกับค่าเงิน ดอลลาร์ของสหรัฐ
ความพยายามในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของทั้ง 2 กลุ่มประเทศ ทั้ง “ญี่ปุ่น” และ “ยุโรป” ผ่านมาตรการคิวอี ทำให้ค่าเงินของทั้ง 2 ประเทศ อ่อนลงอย่างชัดเจนตลอดช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายประเทศ เริ่มออกมาปกป้องค่าเงินตัวเอง ด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายลง เช่น กรณีของธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ (เอสเอ็นบี) ที่ยกเลิกเพดานกำหนดอัตรา แลกเปลี่ยนเงินสวิสฟรังก์กับยูโร พร้อมลดดอกเบี้ยลงสู่ระดับ -0.75%
หลังจากนั้นไม่นาน ธนาคารกลางเดนมาร์ก ก็ประกาศปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลงเป็น ครั้งที่ 2 ในรอบสัปดาห์ โดยลดจากระดับ -0.2% เป็น -0.35% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในประวัติการณ์ และก่อนหน้านั้นไม่นาน ธนาคารกลางอินเดีย ก็ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25% สู่ระดับ7.75%ซึ่งเป็นการลดดอกเบี้ยลงครั้งแรก ในรอบเกือบ 2 ปี ของธนาคารกลางอินเดีย การลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางประเทศเหล่านี้ ส่วนหนึ่งถูกตีความว่า เพื่อปกป้อง ตัวเองจากสงครามในตลาดการเงิน
“พิพัฒน์ เหลือนฤมิตชัย” ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บล.ภัทร มองว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น หากประเทศไทยไม่ดำเนินการใดๆ เลย เงินทุนเคลื่อนย้ายคงไหลกลับเข้ามาอีกรอบ ซึ่งเวลานี้ถ้าดูเงินบาทเทียบเงินดอลลาร์ อาจดูเหมือนว่ามีเสถียรภาพ คือ ไม่ขยับไปไหนเลย แต่ถ้านำไปเทียบกับเงินเยนและเงินยูโรที่อ่อนค่าลง มาแล้ว 12% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ เท่ากับว่า เงินบาทแข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินเหล่านี้ และถ้าดูเงินบาทเทียบกับค่าเงินภูมิภาคแล้ว เงินบาทไทยแข็งค่าขึ้นราว 6-7% ตลอดทั้งปีด้วย จึงปฏิเสธไม่ได้ว่า เราสูญเสียความสามารถทางการแข่งขันในด้านการส่งออกไป
“ต้องตั้งคำถามว่า เงินบาทสำคัญกับการส่งออกจริงหรือไม่ ถ้าสำคัญจริงก็มีเคสว่า ควรอ่อนค่าตามเขาหรือไม่ แต่ขณะเดียวกัน ก็ต้องตั้งคำถามว่า การส่งออกขึ้นกับค่าเงิน จริงหรือไม่ ซึ่งถ้าบอกว่าใช่ก็ต้องมาดูต่อว่า จะทำยังไงให้เงินบาทอ่อน ลดดอกเบี้ยจะช่วยหรือไม่ ซึ่งก็มีคำถามอีกว่า ลดแล้วผลดีผลเสียอย่างไหนเยอะกว่ากัน ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ กนง. จะต้องชั่งน้ำหนักให้ดี”
ด้าน “อมรเทพ จาวะลา” ผู้อำนวยการ สำนักวิจัย สายบริหารความเสี่ยง ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย มองว่า สถานการณ์ค่าเงินบาทไทยในเวลานี้ ไม่ต่างจากผู้ตกเป็นเหยื่อในสงครามค่าเงิน โดยเฉพาะหลังจากที่บีโอเจ และอีซีบี ได้ประกาศมาตรการคิวอีออกมา
นอกจากนี้ ไทย ยังตกเป็นเหยื่อของสงครามราคาน้ำมันด้วย เพราะน้ำมันที่ลดลง แม้จะส่งผลดีทำให้มูลค่าการนำเข้าน้ำมันลดลง ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดของไทยเกินดุล มากขึ้น แต่ก็ทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม อมรเทพ มองว่า ไทยไม่ควรแก้ปัญหาด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายลง เพราะการทำเช่นนั้นไม่ต่างจากการประกาศสงครามค่าเงินในภูมิภาค ซึ่งจะทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้ายลง ขณะที่เศรษฐกิจในประเทศก็ยังมีความเสี่ยงเรื่องฟองสบู่ภาคอสังหาริมทรัพย์ และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูง ซึ่งถ้าไทยต้องการผลักดันให้ค่าเงินบาทอ่อนลง ควรใช้มาตรการสนับสนุนให้คนออกไปลงทุนยังต่างประเทศมากกว่า
สำหรับการแก้ปัญหานั้น นายอมรเทพ กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ควรโดดเข้าร่วมสงครามค่าเงินครั้งนี้ด้วยการประกาศลดดอกเบี้ยนโยบาย เพราะอาจทำให้สถานการณ์เลวร้ายลงกว่าเดิม ในขณะที่เศรษฐกิจไทยยังมีความเสี่ยงจากเรื่องฟองสบู่ และหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูง แต่หากประเทศไทยอยากให้ค่าเงินอ่อนลง ก็ควรใช้มาตรการสำหรับหนุนเงินทุนไหลออกเพื่อไปลงทุนต่างประเทศแทน
“ถ้าเราไปลดดอกเบี้ยก็ไม่ต่างจาก การโดดเข้าสู่สงครามค่าเงินแบบซึ่งๆหน้า กลายเป็นผู้ประกาศสงครามในภูมิภาค อาเซียนเอง และไม่มีประโยชน์ที่เราจะโดดลงไปเล่นแบบนั้น ถ้าจะหลีกเลี่ยงสงครามแบบไม่เจ็บตัวนัก ควรใช้โอกาสที่เงินบาทแข็งแต่เศรษฐกิจฟื้นตัวช้า สนับสนุนให้เอกชนไปลงทุนต่างประเทศ โดยเฉพาะเพื่อนบ้านที่แนวโน้มเศรษฐกิจเติบโตดี มีทรัพยากรที่มาก ค่าแรงถูก อย่างประเทศเพื่อนบ้าน ตรงนี้ก็น่าจะเป็นโอกาสของนักลงทุนไทย”นายอมรเทพกล่าว
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางสถานการณ์ เหล่านี้ “จันทวรรณ สุจริตกุล” ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ไทยควรมุ่งเสริมสร้างเศรษฐกิจให้มีความเข้มแข็ง พร้อมปรับตัวรับกับความ ผันผวน
ในส่วนของ ธปท. คงจะทำหน้าที่เป็น หน้าด่านที่คอยติดตามภาวะตลาดอย่างใกล้ชิด โดยจะดูแลให้อัตราแลกเปลี่ยนให้มีเสถียรภาพและสอดคล้องไปกับปัจจัยเศรษฐกิจที่ควรจะเป็น ขณะที่ภาคเอกชนเอง ก็ควรมีการบริหารจัดการความเสี่ยง เพราะความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นเรื่องที่บริหารจัดการได้
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ