ปิดฉากคดีประวัติศาสตร์ กทม.ทุบทิ้งแน่โรงแรมเอทัส-เซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ เผยมีนาคมนี้ได้ผู้รับเหมาสนง.เขตปทุมวัน ยํ้าชัด ตึกเบียร์ช้าง อาจโดน ด้วย เตรียมเอ็กซเรย์ซอยทั่วกรุง โดยใช้คำสั่งศาลเป็นบรรทัดฐาน
หลังยืดเยื้อมานาน 10 ปีจากกรณีชาวบ้าน 24 ราย ในซอยร่วมฤดี ฟ้องคดีประวัติศาสตร์ให้ดำเนินคดีกับผู้อำนวยการเขตปทุมวัน ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเมื่อปี 2551 อนุญาตโดยมิชอบให้ บริษัท ลาภประทาน จำกัด และบริษัท ทับทิมทร จำกัด ก่อสร้างโรงแรมดิเอทัส และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ซึ่งเป็นอาคารสูงและอาคารขนาดใหญ่พิเศษ สูงเกิน 23 เมตรและพื้นที่ใช้สอยเกิน 1 หมื่นตารางเมตร ทั้งที่ ขนาดเขตทางกว้างไม่ถึง 10 เมตร ขัดต่อกฎกระทรวงฉบับที่ 33 ที่ออกตามความในพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ควบคุมอาคารพ.ศ. 2522 การต่อสู้ของชาวบ้าน จากปี 2551 กระทั่งถึงวันพิพากษาใช้เวลานาน 6 ปี แต่เอกชนและ กทม. อุทธรณ์คดี แต่แพ้คดีในที่สุด
“ฐานเศรษฐกิจ” สำรวจบรรยากาศภายในซอยร่วมฤดี ซึ่งต้นซอยติดสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต ท้ายซอย ติดถนนวิทยุถือว่าเป็นทำเลที่ดีเวลอปเปอร์ให้ความสนใจ ขณะที่ โรงแรมดิเอทัส บางกอก และเซอร์วิสอพาร์ต เมนต์ ตั้งอยู่บริเวณต้นซอย ล่าสุดยังมีนักท่องเที่ยวติดต่อใช้บริการต่อเนื่อง โดยเฉพาะต่างชาติ เกาหลี ญี่ปุ่น จีน เมื่อสอบถาม พนักงานก็ได้รับคำตอบว่า แม้จะมีประกาศห้ามใช้อาคาร บริษัทยังเปิดให้บริการตามปกติ ไม่ตื่นตกใจกับประกาศห้ามใช้อาคารและการรื้อถอน เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่ยังติดต่อขอใช้บริการต่อเนื่อง ส่วนอาคารชาโต้ สร้างติดกับโรงแรมดิเอทัส มีความสูงระดับเดียวกัน
ด้านนายสนธยา เพิ่งผล ประธานชุมชนซอยร่วมฤดี และอดีตสมาชิกสภาเขตปทุมวันกล่าวว่าการรื้อถอนอาคารเอทัส จะกระทบอาคารข้างเคียงที่อาจจะต้องรื้อถอนตามไปด้วย เช่นอาคารชาโต้ จากการวัดความสูงของเขตปทุมวันคาดว่า มีการก่อสร้างสูงกว่า 23 เมตร ขัดต่อกฎหมายควบคุมอาคารเช่นกัน ที่ขนาดซอยตํ่ากว่า 10 เมตร ต้องสร้างอาคารสูงไม่เกิน 23 เมตรหรือ 8 ชั้น ขนาดพื้นที่ใช้สอยไม่เกิน 1 หมื่นตารางเมตร รวมทั้งคอนโดมิเนียมในซอยสุขุมวิท 39 ที่พบว่าสร้างสูงเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ดี เมื่อมีการตรวจสอบซอยร่วมฤดี กทม.ควรตรวจสอบอาคารในซอยทั้งหมดด้วย เชื่อว่ามีการลักไก่ก่อสร้างผิดกฎหมายเช่นเดียวกัน
สำหรับซอยร่วมฤดี เกิดจากเจ้าของที่ดิน ซึ่งเป็นราชสกุล อาทิ หม่อมเจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต ฯลฯ บริจาค ข้างละ 5 เมตร รวม 10 เมตร เพื่อนำที่ดินเปล่าจัดสรรขาย แต่ต่อมาสถานทูตอังกฤษได้ ขยับแนวรั้วรุกลํ้า ถนน ทำให้เจ้าของที่ดินขยับตามจน ซอยร่วมฤดี มีขนาดความกว้างไม่เท่ากัน หรือตั้งแต่ 7 เมตรเศษๆจนถึง กว่า 9 เมตร แต่ทางสำนักงานเขต กลับยืนยันว่า ถนนกว้าง 10 เมตร ทำให้เกิดการก่อสร้างขึ้น ขณะที่เจ้าของโรงแรมดิเอทัส ได้หาหลักฐานของผู้บริจาคเขตทาง และเตรียมฟ้องศาลแพ่งเรียกค่าเสียหายจากการรื้ออาคารกับกทม.มากกว่า 1,000 ล้านบาท
แหล่งข่าวจาก กรุงเทพ มหานครเปิดเผยว่า ภายในซอยร่วมฤดี ยังพบอาคารของค่ายเบียร์ช้าง อยู่ในข่ายเดียวกับดิเอทัส ที่อาจจะต้องรื้อถอน ซึ่งคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดครั้งนี้ สามารถใช้เป็นบรรทัดฐาน กับ อาคารอื่นทั่วไปได้ และเดือนมีนาคม 2561 สำนักงานเขตปทุมวัน ประกาศหาผู้รับจ้างรื้อถอน โรงแรม ดิเอทัส บางกอก และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ ดิเอทัสในซอยร่วมฤดีของบริษัท ลาภประทาน จำกัด และบริษัททับทิมทร จำกัด วงเงิน 120 ล้านบาทเป็นเวลา 1 ปีนับจากเซ็นสัญญา หลังเขตปทุมวันปิดประกาศ ห้ามใช้อาคารเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 ตามคำสั่งศาล แต่ปัจจุบันยังพบว่าทั้งโรงแรมและส่วนของเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ยังเปิดให้บริการ โดยเจ้าของอาคารยอมจ่ายค่าปรับวันละ 3 หมื่นบาท ขณะที่ค่ารื้อถอนเจ้าของโรงแรมดิเอทัสจะเป็นผู้รับผิดชอบ
ส่วนซีกของกทม.ผู้ที่รับผิดชอบคือ ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน และผู้ว่าราชการกรุงเทพ มหานครในสมัยนั้น ปล่อยให้เอกชนสร้างโรงแรมสูงถึง 24 ชั้น ทั้งที่สร้างได้ไม่เกิน 8 ชั้น พื้นที่ใช้สอยมากถึง 2.8 หมื่นตารางเมตร และเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ สูง 18 ชั้น ที่ใช้สอย 2.9 หมื่นตารางเมตร
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,344 วันที่ 1 – 3 มีนาคม พ.ศ. 2561
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ