ออลล์ อินสไปร์ คว้าดีลร่วมทุนอสังหารายยักษ์ญี่ปุ่นร่วมลงขัน 6,000 ล้านต่อปี เล็งใช้ความเชี่ยวชาญที่พักวัยเกษียณเปิดตลาดยึดทำเลแหล่งท่องเที่ยวชายทะเล “ฮูซิเออร์”มั่นใจอสังหาไทยยังโต
นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ได้ร่วมมือเป็นพันธมิตรร่วมทุนกับกลุ่มฮูซิเออร์ โฮลดิงส์ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากญี่ปุ่น ที่วางงบประมาณในการพัฒนาร่วมกับออลล์ อินสไปร์ ไว้ที่ราว 5,000-6,000 ล้านบาทต่อปี ในปีแรก 2560 นำร่องด้วยโครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ สุขุมวิท 50 มูลค่า 2,000 ล้านบาท และตามข้อตกลงยังมีอีก 2 โครงการที่จะพัฒนาร่วมกันด้วย โดยอยู่ระหว่างการหารือถึงข้อสรุปว่าจะเป็นที่ใด แต่วางงบประมาณรวมสำหรับ 3 โครงการแรก 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นไทย 51% และญี่ปุ่น 49%
ทั้งนี้ มองข้อได้เปรียบนอกเหนือจากเม็ดเงินลงทุนคือ บริษัทฯ จะได้อาศัยความเชี่ยวชาญของฮูซิเออร์ ที่มีการพัฒนาธุรกิจถึง 9 หน่วยย่อย ไม่ใช่เฉพาะแต่คอนโดมิเนียมที่เป็นแนวทางเดียวกับ ออลล์ อินสไปร์ แต่ยังมีโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัย, การซื้อคอนโดมิเนียมมาปรับปรุงและขายต่อ และบริการเกี่ยวเนื่องด้านอื่นๆ เช่น สปอร์ตคลับ เป็นต้น โดยเฉพาะที่พักสำหรับผู้สูงวัย ที่จะมาสอดคล้องกับแผนของ ออลล์ อินสไปร์ ที่เตรียมแผนการพัฒนาเบื้องต้น 2 โครงการใหญ่ที่ชลบุรี และภูเก็ต พอดี วางแนวทางเป็นโครงการมิกซ์ยูส คือ มีพื้นที่เชิงพาณิชย์, โรงเรียนนานาชาติ ภายในโครงการเดียวกัน ในชลบุรีมีความเป็นไปได้สูง เนื่องจากมีที่ดินเตรียมพร้อมไว้แล้ว 500 ไร่
สำหรับแผนการพัฒนาของออลล์ อินสไปร์ เองในปีนี้มีทั้งสิ้น 7 โครงการ มูลค่ากว่า 9,700 ล้านบาท ส่วนปี 2561 จะขยายการลงทุนเพิ่มขึ้น 10% จากงบในปีนี้ มีจำนวนประมาณ 10 โครงการ ขณะที่โครงสร้างใหญ่ที่วางไว้แบ่งเป็น 3 หน่วยธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.คอนโดมิเนียมที่เริ่มเปิดตัวแบรนด์เอ็กเซล และไรส์ เจาะตลาดระดับกลางไปแล้ว แต่มีแผนจะขยับไปจับตลาดลักชัวรีในช่วงไตรมาส 2 ปีหน้าด้วย 2.ขยับเพิ่มการลงทุนในแนวราบ มองโครงการบ้านราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป และบ้านในราคาระดับกลาง และ 3.โครงการที่พักสำหรับผู้สูงวัย ดังที่ได้ระบุมาแล้วข้างต้น
นายธนากร กล่าวว่าปีนี้มีการรับรู้รายได้เข้ามาแล้ว 1,270 ล้านบาท จากยอดขายรวมกว่า 821 ยูนิต แต่หากนับตั้งแต่เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2557 มูลค่าโครงการที่ลงทุนรวมแล้วกว่า 1.4 หมื่นล้านบาท
ขณะที่ฮูซิเออร์ ถือเป็นพันธมิตรที่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือ เพราะเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่น มีประสบการณ์นับตั้งแต่ก่อตั้ง 23 ปี มีโครงการพัฒนาในญี่ปุ่นแล้วกว่า 261 โครงการใน 52 เมือง รวมกว่า 2 หมื่นยูนิต ยอดขายสะสมคิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 1.45 แสนล้านบาท และเฉพาะปีนี้ ทำไปแล้วกว่า 1.67 หมื่นล้านบาท และแต่ละปีมีการลงทุน
“ทราบว่าทางฮูซิเออร์ เข้ามาในประเทศไทยได้ราว 3 ปีแล้ว แต่ยังไม่สามารถหาพันธมิตรได้ ซึ่งหลังจากได้ธนาคารกรุงศรีอยุธยา มาช่วยแนะนำกลุ่มฮูซิเออร์ให้ ทั้งสองฝ่ายก็เจรจากันและตกลงเป็นพันธมิตรตั้งแต่ราวเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา โดยการที่ได้ธนาคารการันตีทั้งสองฝ่าย จึงเชื่อว่าจะสร้างความมั่นใจในการลงทุนร่วมกันได้”
นายสึโตมุ อิคุมะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน กลุ่มฮูซิเออร์ โฮลดิงส์ กล่าวว่า ได้เข้ามาจัดตั้งบริษัทในสิงคโปร์เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนในเอเชียแปซิฟิก โดยคาดว่าภายในปี 2563 จะทยอยรับรู้รายได้จากการลงทุนต่างประเทศ 20% ขณะที่รายได้จากในญี่ปุ่นอยู่ที่ 80%
การร่วมมือกับไทย ถือเป็นลำดับที่ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ต่อจาก เวียดนาม และกัมพูชา ซึ่งเป็นการลงทุนในรูปแบบที่ต่างออกไป คือ ความร่วมมือกับฮูซิเออร์จะเป็นการลงเงินทุนเป็นรายโครงการ ส่วนอีก 2 ประเทศเป็นการเข้าไปถือหุ้นบริษัท แต่ทั้งนี้พบว่า การลงทุนในไทยมีความสะดวกและง่ายมากกว่า สภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังไม่ได้เติบโตดีถึงขึดสุด ดังนั้นจึงยังมีช่องว่างที่จะเข้ามาเป็นผู้เล่น นอกจากนั้น โดยพื้นฐานของออลล์ อินสไปร์ ก็เป็นบริษัทที่เติบโตรวดเร็วเมื่อเทียบกับระยะเวลาก่อตั้งมาเพียง 4 ปี และสามารถทำยอดขายได้ 80-90% และเมื่อมีธนาคารมาช่วยจับคู่การันตี ก็ยิ่งมีความน่าเชื่อถือ
นอกจากนั้น ไทยยังเป็นประเทศที่มีชาวญี่ปุ่นอาศัยจำนวนมาก และสามารถขยายตลาดหลากหลายไปที่ต่างชาติอื่นๆ เช่น จีน ซึ่งโครงการแรกที่ร่วมมือกันพัฒนา วางเป้าหมายตลาดต่างชาติไว้ที่ราว 30% ขณะที่ประเทศมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีดีขึ้นต่อเนื่อง
สำหรับการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นนั้น ยอมรับว่าขณะนี้มีราคาถีบตัวสูงมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะตลาดปรับราคาขึ้นเตรียมรับมหกรรมกีฬาโอลิมปิกเกมส์ 2020 ที่โตเกียว ดังนั้นจึงต้องฉีกแนวการพัฒนาไปเกาะรอบนอกเมืองหลวงส่วนใหญ่
ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ