ตลาดคอนโดฯไฮเอนด์เดือด บิ๊กเนมยังเดินหน้าลุยเต็มสูบ กูรูฟันธงไม่โอเวอร์ซัพพลาย ชี้ที่ดินหายากพลิกแผนซื้อที่ในซอยทำโลว์ไรส์ กลางเมืองแทนตึกสูง เอสซีฯ จับมือ “ยงยุทธ” ตั้งบริษัท SCOPE ลุยหลังสวนตร.ว.ละ 3 ล้านบาท พฤกษา-นายณ์ ปักธงสุขุมวิท
ดีเวลอปเปอร์ยังทุ่มปักธงพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในระดับไฮเอนด์ต่อเนื่อง แม้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลังปรับประมาณการเศรษฐกิจ ปี 2561 สูงถึง 4.2% แต่ประเมินว่าตลาดกลาง-ล่างยังฟื้นยากประกอบกับสถาบันการเงินยังเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อต่อเนื่อง
ต่อเรื่องนี้ นายสุรเชษฐ กองชีพ นักวิเคราะห์อสังหา ริมทรัพย์ เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ผู้ประกอบการยังมุ่งพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ต่อเนื่อง แม้ตลาดนี้จะเป็นกลุ่มเล็ก แต่ลูกค้ามีกำลังซื้อสูง สามารถซื้อที่อยู่อาศัยมากกว่า 1 หน่วย ทั้งเพื่อบ้านหลังที่2 หลังที่ 3 และเพื่อลงทุน โดยเฉพาะต่างชาติ ยังสนใจคอนโดมิเนียมในไทย อย่างไรก็ดีด้วยที่ดินใจกลางเมืองมีจำกัด ทำให้จำนวนหน่วยแต่ละปี ออกมาไม่มาก ทำให้สินค้าในตลาดไฮเอนด์ไม่เกิดภาวะล้นตลาดหรือโอเวอร์ซัพพลาย โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมตารางเมตรละ 3 แสนบาทยังไปได้
ส่วนบ้านหรูจะอยู่ทำเลชานเมืองราคา 25 ล้านบาทขึ้นไป อยู่ระหว่างเปิดขายประมาณ 500 หน่วย อาทิ พระราม 2 ถนนวงแหวนรอบนอก บางนา-ตราด ส่วนใหญ่เป็นค่ายใหญ่ อาทิ เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น, เอพี (ไทยแลนด์), แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์, แสนสิริ ส่วนนายณ์ เอสเตท จะพัฒนาบ้านหรูใจกลางทองหล่อประมาณ 8-9 หน่วย อีกรายไรมอน แลนด์ ปักธงทำเลเย็น อากาศ 8-9 หน่วยเช่นกัน ซึ่งล่าสุดยอดขายก็ไปได้ดี
สำหรับโครงการคอนโดมิเนียมที่มีราคาขายมากกว่า 3 แสนบาทต่อตารางเมตรนั้น มักจะอยู่ในทำเลเมืองชั้นในของกรุงเทพฯ รอบสวนลุมพินี ตามแนวถนนสุขุมวิทตอนต้นถึงทองหล่อ สีลม สาทร หรือริมแม่นํ้าเจ้าพระยา โดยจำนวนรวมทั้งหมด ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 3,742 หน่วย เป็นทำเลที่ชาวต่างชาติให้ความสนใจเพราะว่าการเดินทางที่สะดวกสบาย มีสิ่งอำนวยความสะดวกพร้อมชาวต่างชาติรู้จักทำเลนี้เป็นอย่างดี อัตราการขายของคอนโดมิเนียมในระดับนี้อยู่ที่ประมาณ 73%
สุธี ลิมปนชัยพรกุล
นายสุธี ลิมปนชัยพรกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด กล่าวว่าคอนโดมิเนียมไฮเอนด์ยังไปได้ต่อเนื่อง เนื่องจากข้อจำกัดที่ดินกลางเมืองหายาก ทำให้ถูกจำกัดซัพพลายอัตโนมัติ
ขณะที่ผู้ประกอบการปรับแผนหันไปซื้อที่ดินในซอย ซึ่งถูกกว่าทำเลติดถนนหรือสถานีรถไฟฟ้า แต่ปรับรูปแบบพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมแนวราบหรือโลว์ไรส์ สไตล์รีสอร์ตเหมือนอยู่บ้านที่ได้บรรยากาศอีกแบบ แทนที่จะมุ่งเน้นหาที่ดินติดรถไฟฟ้าสร้างเฉพาะตึกสูงเพียงอย่างเดียว ยกตัวอย่าง ค่ายพฤกษาซึ่งพัฒนาคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ ซอยสุขุมวิท 61 ราคาตารางเมตรละ 2.5แสนบาท ซึ่งยอดขายค่อนข้างดี ขณะที่ บริษัท นายณ์ เปิดขายคอนโดมิเนียม “คราม” ที่ ซอยสุขุมวิท 26 ล่าสุดขายเพนต์เฮาส์ไปได้และปิดสำนักงานขายภายใน 6 เดือน อย่างไรก็ดีแม้ราคาต่อหน่วยแพง แต่หากทำเล และรูปแบบดีมองว่าขายได้แน่นอน
“ราคาที่ดินบริษัทรับได้ที่ราคาตารางวาละไม่เกิน 1 ล้านบาท บวก-ลบ หากราคาสูงกว่านั้นต้องเป็นไพรม์จริงๆ ปัจจุบัน หากที่ดินหายาก ก็ปรับแผนไปซื้อคอนโดมิเนียมในซอย อาทิ ซอยร่วมฤดี ถนนวิทยุ สร้างคอนโดมิเนียมตึกเตี้ยๆแทนตึกสูง เพราะคนซื้อไม่นิยมตึกสูงเสมอไปแต่ต้องการความสงบจำนวนหน่วยน้อยๆมากกว่า”
ต่อกรณี บริษัท เอสซี แอสเสทฯ ที่ร่วมทุนกับนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ตั้งบริษัทร่วมทุน SCOPE ขึ้นมา เพื่อพัฒนา โครงการคอนโดมิเนียม บนทำเลหลังสวน เนื้อที่ 2 ไร่ ซึ่งประมูลราคาตารางวาละ 3.1 ล้านบาท นั้น นายสุธีสะท้อนว่า “ค่ายเอสซี ได้ร่วมทุนกับ นายยงยุทธมาประมาณครึ่งปีที่ผ่านมาเพื่อ ร่วมลงทุนโครงการดังกล่าว เข้าใจว่ามีเหตุผลร่วมกันและพันธมิตรน่าจะมีจุดแข็งที่ดี โดยเฉพาะการตลาด แต่หากลำพังค่ายเอสซีค่ายเดียวก็สามารถลงทุนเองได้ เนื่องจากมีเม็ดเงินมากพอ”
ส่วนโครงการที่จะพัฒนาบนที่ดินดังกล่าวคาดจะเป็นคอนโดมิเนียมสูงแท่งเดียว ประมาณ 200 หน่วย เพราะที่ดิน เนื้อที่เพียง 2 ไร่เศษ เชื่อว่าน่าจะมีสีสันมากขึ้นสำหรับคอนโด มิเนียมใจกลางเมือง
ขณะที่ที่ดินของลูกชายน.พ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ ติดสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต เนื้อที่ 3 ไร่ ซึ่งก่อนหน้านี้เคยร่วมทุนกับนายยงยุทธ ชัยพรหมประสิทธิ์ ที่จะพัฒนาเป็นคอนโด มิเนียม ล่าสุดยังไม่ทราบว่าจะขายพื้นที่เมื่อใด
อลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CBRE
นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบี ริชาร์ดเอลลิส (ประเทศไทย) จำกัด หรือ CBRE วิเคราะห์ว่า คอนโดมิเนียมไฮเอนด์ไม่เกิดโอเวอร์ซัพพลายแน่นอน เพราะ 1. ที่ดินไม่มีเหลือขาย 2. ที่ดินแพง ทำให้มีข้อจำกัด ทำให้ จำนวนหน่วยออกมามีไม่มาก สอดรับกับดีมานด์ ที่มีต่อเนื่อง อย่างไรก็ดีเชื่อว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ยังมองหาที่ดินในเมืองต่อเนื่อง เพราะยังเห็นความต้องการของตลาดนี้
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 38 ฉบับที่ 3,338 วันที่ 8 – 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561
ที่มา : หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ